22.6.53

มีที่ว่างให้ฉันบ้างไหม?




คือมันเป็นผลสืบเนื่องมาจากลิงค์ข้างล่าง เลยพาลทำให้หุดหิดจนต้องระบายออกมาบนบล็อค ซึ่งที่จริงแล้วเมื่อก่อนก็ทนได้นั่นแหละ แต่คราวนี้มันสุดจะทน..ดูเอาครับ นับเอาว่ามีกระดาษเท่าไหร่ มันเป็นใบบันทึกข้อความขอให้ออกแบบงานของมหาลัยผม หลายคนเห็นแล้วอาจจะเฉยๆ แล้วร้องบอกว่า เอ้า ก็ค่อยๆ ทะยอยทำไปสิฮะทีละชิ้นสองชิ้น แล้วก็ค่อยๆ ส่ง ใช้เวลาซักอาทิตย์ก็เสร็จ ไม่เห็นจะหนักหนาอะไรเลยเอ้อออ

คือก็ดี... ถ้ามันทะยอยกันส่งแบบนั้นได้
แต่ทั้งหมดในรูป..ไอ้นี่ก็รีบ ไอ้นั่นก็ด่วน ไอ้นี่ก็ต้องใช้ ฯลฯ
มันเอาพร้อมกันภายในอาทิตย์เดียว...




จะเอากะเจี๊ยวที่ไหนไปคี๊ดดดดด
คนนะฮะไม่ใช่ตู้โค๊กกก กดปั๊บรับโค๊กเย็นๆ ปุ๊บบ
เย็กกะม่อน
มิถุนายน 2553

21.6.53

เมาส์ฮ่วยจังซี่เด้อคั่กๆ



ตอนแรกที่ได้มันมาใหม่ๆ ไอ้หนูสีขาวเป็นที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับตัวผม ด้วยรูปทรงอันล้ำสมัยผิดไปจากฝั่งเมาส์ของทาง PC เลยทำให้คุณค่าของมันในการมองเห็น ดูมีราคาเว๊อเว่อ (จริงๆ ของแม็คทุกอย่างก็แพงกว่าค่ายอื่นอยู่แล้วล่ะ)

หลังจากใช้มันทำงานมา 5 ปีเต็ม ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งานน่ะเพียบ
หนึ่งวันทำงานมี 8 ชั่วโมง จับเมาส์ซะ 7 ชั่วโมง ที่เหลือเป็นการเอามานั่งโขกกบาลตัวเองเล่น
หรือไม่ก็ถูๆ ให้เพลินอารมณ์อย่างสนุกสนานรื่นเริง

แต่หลังจากสัปดาห์เปิดเทอมนรก งานวิ่งชนกันท่วมหัว
จนตัวแทบจะบิดเป็นเกลียวเหมือนโปเต้ มือที่กุมเมาส์อยู่ทุกวัน
เริ่มขยับมากุมกบาลแทนบ้าง เพื่อเป็นการบรรเทาการเวียนเฮดด

อีเมาส์บ้า ทำไมมันหนักจังวะ
แดร๊กก็ไม่มีเหมือน PC คลิ๊กขวาก็ไม่ได้ คลิ๊กซ้ายก็ไม่มีมาให้
สีขาวก็สกปรกง่ายชิบ..เดี๋ยวเอาไปต้มกินซะนี่

ปล. งานเยอะ เลยพาลมาลงกับเมาส์ กึกึ !@#@%^&*#$

คนละด้าน



อาจจะไม่ใช่เรื่องประหลาดที่คนอย่างเรา มองอะไรไม่เหมือนคนอื่น ให้ความสำคัญกับอะไรที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเขาสนใจกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกเสมอ และไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คนอื่นเห็นไม่ตรงกับเรานั่นผิดอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่เราเห็นว่ามันมีสองฝั่ง ซึ่งเผอิญว่ามนุษย์สันดานเช่นเราดันมองฝั่งที่อยู่คนละด้านกับคนอื่นอยู่ร่ำไป เลยทำให้ความคิดของเรามักไม่เข้ากับความเห็นของใครอีกหลายคน

คงต้องพร่ำบอกตัวเองนับแต่นี้ไป ว่า
หัดมองด้านเดียวกับที่คนอื่นเขามองบ้าง
จะได้เห็นไปในทางเดียวกันเสียที

เสียดายที ที่มันยาก แต่ก็จะพยายาม...
มิถุนายน 2553

15.6.53

เรื่องความซวย ที่คนรวยบางคนไม่สนใจ

เหตุเกิดจากที่เมื่อวาน ผมลางานไปทำธุระเกี่ยวกับการโอนย้ายทะเบียนรถยนต์ที่บ้านครับ ก็ปิดร้านคืนวันอาทิตย์ประมาณ 4 ทุ่มแล้วก็ขับไอ้เตารีดกลับแปดริ้วทันที เพราะเช้าจะได้ไม่ต้องรีบให้มันมากนักไงครับ ตื่นมาก็ตักบาตรตอนเช้า (นานๆ มีเวลาก็เอาซะหน่อย) กินข้าวล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็นั่งรอเวลาที่จะไปทำธุระ

8 โมงกว่าก็ขับไอ้เตารีดดิ่งไปยังขนส่งจังหวัดฉะเชิงเทรา ครับ ยื่นเอกสารเรื่องการแจ้งย้ายเข้าของไอ้เตารีด แล้วก็นั่งรอตามจังหวะและคิวที่เราได้ หลังจากจ่ายค่าป้ายใหม่ไป 350 บาท เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี จนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือเอาเอกสารทุกอย่างใส่รถ แล้วก็ถอยออกจากช่องจอด......
ตรึ่มมมมมมมม!!!!


แม่รถบัสคันงามที่จอดอยู่ท้ายไอ้เตารีด เกิดพิศวาสตูดรถผมเข้าอย่างกระทันหัน ค่อยๆ บรรจงเอาแก้มซ้ายของเธอ ปักลงไปที่บั้นเอวของพี่เตารีดรูปงาม ผลก็เป็นอย่างที่เห็น

เหย็ดแม่มม...ผมอุทานในใจ พร้อมทั้งนั่งสะกดอารมณ์เดือดปุดๆ อยู่ในรถประมาณ 30 วินาที แล้วก็ก้าวลงมายืนดูอนุสรณ์สถานที่แม่รถบัสคันงามได้ฝากไว้...โอว เย็กกะแม่น งานเข้าล่ะกู ฝาข้างด้านหลังคนนั่งยุบไปทั้งแถบ (ประกันมันเรียกว่าบังโคลนแหน่ะ) เขยิบหางตาไปดูกันชนท้าย มีรอยกระแทกด้านหัวมุม สีและแล็กเกอร์หลุดออกมาเป็นริ้วๆ ...

หลังจากนั้นผมก็ได้แต่สาละวนอยู่กับอิเจ๊เจ้าของรถบัสคันงาม ที่อ้างว่า เจ๊ม่ายเห็นๆๆๆ เจ๊ม่ายเห็นๆๆ (ม่ายเห็นพ่องงงงสิ กระจกบานโล่งบะเริ่มเทิ่ม) แล้วก็วนเวียนอยู่กับประกันเป็นเวลาร่วมๆ 4 ชั่วโมง จนกระทั่งแล้วเสร็จจากข้อตกลงที่ทางบริษัทประกันของรถบัส ต้องเป็นผุ้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมครั้งนี้ทั้งหมด โดยที่อู่รถประเมินราคาค่าซ่อมไว้ที่ 6500 บาท (ดีนะไม่ซ่อมเอง เดชะบุญของกู) เสร็จแล้วก็แยกย้ายตัวใครตัวมันครับ พร้อมกับพกความเซ็งในวันที่แดดแม่งร้อนชิบหายกลับไปยังอู่รถ...!@#$

ก็ตกลงกันไว้ว่าวันที่ 28 นี้จะส่งรถเข้าเคลม เพราะต้องรอเข้าคิว (ถึงรถจะโดนชนแต่ก็ต้องเข้าคิวนะจ๊ะ) ระหว่างนี้ก็ขับไอ้เตารีดตูดบุบไปทำงานก่อนพลางๆ หลังจากที่ออกจากอู่ก็ไปอีก 1 อู่ครับ เปลี่ยนสายน้ำหม้อน้ำใหม่หมด ไล่ระบบน้ำยาหล่อเย็น ไล่ระบบไฟของแตรรถที่อู่รุ่นพี่ เอ้า โดนไปอีก 1000 บาท..

บ่ายสองแก่ๆ ผมก็ออกจากอู่ไปหาข้าวกินที่ร้านแถวบ้านด้วยความสบายใจเฉิบ จ่ายค่าข้าวที่พาไอ้ทินไปกิน 300 บาทแล้วก็เตรียมตัวเผ่นกลับ กทม. เหลือบมองไปยังเกจ์วัดน้ำมัน ...โอว เหย็ดแม่ม น้ำมันหมดทำพรื๊ออออ... โดนไปอีก 500 บาท สบายใจไทยแลนด์ ถึง กทม. 5 โมง หญิงเลิกประชุมทุ่มครึ่ง วันนี้เกเรไม่เปิดร้านเหล้าก็แล้วกันวะ แล้วก็ไปเดินเล่นห้างกันครับ คุยกันเรื่องโทรศัพท์ใหม่ ว่าจะซื้อต่อรุ่นน้องที่ทำงานหญิง แต่โทรไม่ติด เราก็แอบดีใจว่า ต๊ายย ทุกข์ลาภเว้ยเฮ้ย รถโดนชนแต่ได้โทรศัพท์ใหม่...

โทรไปสี่ห้าครั้ง ปิดเครื่อง...... สุดท้ายข่าววงในแจ้งว่า เอาโทรศัพท์ไปขายซะแล้ว
โอว.. เหย็ดแหม่มมมมมมมม บรมมหาซวยแห่งวันจริงๆ กู

อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อเรื่องวะ ที่ว่าคนรวยบางคนไม่สนใจความซวย
คือหลังจากเสร็จธรุะเรื่องโดนชน ผมก็ไปร้านเพื่อน เพื่อให้มันตัดสติ๊กเกอร์มาแปะไว้ตรงข้างที่ถูกชน

ถามว่าเพื่ออะไร?.....ก็ไม่มีอะไร แค่อย่างน้อยมีใครแอบมองแล้วเกิดฮาในคำที่ผมติดไว้ (อย่างน้อยก็พ่อผมคนนึงที่ขำ) นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ดีในความซวยอย่างช่วยไม่ได้ของผม เพราะเมื่อเวลาเรามีรอยยิ้ม เรื่องซวยๆ มักจะไม่ค่อยมีความสำคัญกับชีวิตซักเท่าไหร่... หลังจากเสร็จธรุะเรื่องสติ๊กเกอร์ ก็ไปกินข้าว เจอไอ้ฮาร์เลย์นอนเพลิดอยู่กลางร้าน

เรียกมันสองสามครั้งมันก็ไม่ตื่น สงสัยคงหลับลึก ว่าแล้วก็เดินอ้อมเข้าร้าน (เพราะแม่งนอนขวางประตู) แล้วก็กินข้าวอย่างเมามัน

ถามว่าแล้วรวยอะไรของมึงวะ??
ก็ไม่ได้รวย ถ้าซวยหนักๆ จ่ายเองล่ะเหี้ยเลย

แต่ถ้าคิดแต่เรื่องซวย วันนี้ทั้งวันคงหน้าเป็นส้นตีนแน่ๆ
เพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นไอ้ฮาร์เลย์นอนขวางประตู
หรือรอยยิ้มจากคนใกล้ๆ ตัวหลังจากที่เห็นสติ๊กเกอร์ง่อยๆ ของผม
มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าอะไรซวยๆ บนโลกเสียอีก

เรื่องซวย กูไม่สนหรอก มันช่วยไม่ได้
แต่เรื่องความฮา ที่ทำให้ลืมความซวย
กูช่วยตัวเองได้ เชื่อป่าวล่ะ

มิถุนายน 2553
โอว เหย็ดแหมมมม

11.6.53

เฟววววววววววววววว



เคยเห็นรูป ป้าย หรือประกาศต่างๆ ตามที่ๆ คุณผ่านกันมั่งมั้ยครับ สังเกตบ้างไหมว่าบางอันทำไมมันเขียนเช่นนั้น บางอันทำไมมันอยู่ผิดตำแหน่งวะ หรือบางอันคนทำมีสติก่อนลงมือหรือเปล่า ข้อความหรือรูปภาพมันถึงได้เรียกต่อมฮาได้เป็นระยะๆ .. แถวนี้ (แถวไหนวะ) เขาเรียกว่า fail กันครับ

แปลกันเอาแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า เสื่อม นั่นล่ะครับ ทีนี้จะเสื่อมคนเดียวมันก็ใช่ที่ น้องๆ จากเว็บฟ๐นต์.คอม ที่ผมขลุกอยู่นานหลายปี เขาก็เลยทำเว็บ Fail.in.th ขึ้นมา เพื่อหาสิ่งมาเสพความเสื่อมแบบฮาๆ กัน

อยาก fail มั่งทำยังไง???
นี่เลย http://fail.in.th/join/
.
.
.
.
.
.
.
.
มามะ มาเฟวกัน :)~
มิถุนายน 2553

บอลโลกมาแล้วโว้ยยยยยย



ฟุตบอลโลก 2010 ภาคกาฬทวีปเริ่มขึ้นแล้วนะจ๊ะ ใครที่ยังงัวเงียไม่ตื่นจากข่าวคราวของลูกกลมๆ ก็เตรียมตัวตั้งหน้าตั้งตาดูมหกรรมการไล่หวดลูกหนังของมนุษยชาติในปีนี้ได้เลย คู่แรกเปิดสนามของคืนวันนี้ เจ้าภาพจะเตะกับแม๊กซิโก ใครจะชนะในนัดแรกคงต้องลุุ้นกัน (แอบเชียร์แอฟริกาใต้อยู่ลึกๆ)

เราเคยนั่งเฝ้าหน้าจอ มอง โรเจอร์ มิลล่า ส่ายเอวท่าเต้นในตำนานที่มุมธงหลังยิงประตู ปี 1990 ที่อิตาลี
ได้นั่งฮากับ เรเน่ ฮิกิต้า ที่วิ่งไล่กวดลูกบอลตัวเอง หลังจากถูก โรเจอร์ มิลล่าฉกไปจากตีนกันต่อหน้า
(ที่สำคัญ ฮิกิต้ามันเสือกเป็นประตูน่ะ) หรือลูกโทษอันคมกริบของ อันเรียส เบรห์เม่ ที่ยิงประตูอาร์เจนตินา แล้วพาเยอรมันชูด้วยจูริเม่ ในปี 1990 อีกเช่นกัน..

นี่ปี 2010

ฟุตบอลโลกมาแล้วโว้ยยยยยยยย
ฟุตบอลโลกมาแล้วโว้ยยยยยยยย
ฟุตบอลโลกมาแล้วโว้ยยยยยยยย

มิถุนายน 2553

10.6.53

ฝนตกห่าใหญ่ คิดถึงอะไรกันบ้าง



ฝนตกในกรุงเทพมาสามวันติดละครับ วันแรก แค่ทักทายลงมาเป็นปรอยฝนเล็กๆ แล้วก็จางหายไป วันที่สองนั้นสงสัยได้ฤกษ์งามยามดี เลยขนมาเป็นกระบุง ล่อซะห่าใหญ่ ปิดร้าน 4 ทุ่ม ขี่แมงกะไซค์วิ่งเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มาได้ซักพัก เม็ดฝนก็สวนมากระแทกหน้าผากดังแปะ แปะ แล้วก็แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ตายล่ะวากู เอาไงดี เห็นปั๊มลางๆ อยู่ข้างหน้าก็เลี้ยวฟ๊าดเข้าไปจอดรถ..รอดแล้วกู ไม่กี่อึดใจฟ้าก็รั่วลงมาพร้อมน้ำฝนอีกหลายห่าใหญ่ ทำเอาปั๊มชุ่มฉ่ำไปในทันที นั่งพักอยู่เป็นเวลานาน นานจนนั่งคิดว่าถ้ากูไม่รีบกลับ หรือไม่ทำอะไรซักอย่าง ได้นอนค้างกับเด็กปั๊มแน่ อย่ากระนั้นเลย เผ่นดีกว่าครับ

ว่าแล้วก็ขึ้นแมงกะไซค์ฝ่าฝนที่ขาดเม็ดลงบ้างออกไปกลางถนน แล้วเข้าทาวน์อินทาวน์ไปโผล่หน้าราม ถนนยังกับทะเลกรุงเทพ ได้ล่องเรือเล่นเป็นระยะๆ หากว่าหมาตัวใดทะลึ่งมาเดินเล่นคงจมน้ำตายริมถนนเป็นแน่แท้ ... ถึงห้องเกือบเที่ยงคืนเข้าให้ เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ ทำธุระเสร็จแล้วก็นอนดีกว่า เช้ามาต้องทำงานอีก จบไปอีกวันสำหรับครั้งที่สองบนถนน ที่ฝนมันตกมาแบบไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้

วันที่สาม (เมื่อวาน) เห็นมาแต่ไกลก่อนเปิดร้านว่า วันนี้โดนแน่ ก็เลยเอารถยนต์มาจอดรอสแตนด์บายไว้ กันเหนียวเป็นดีที่สุด แล้วก็เป็นดังคาด ยังไม่ทันจะปิดร้านก่อน 5 ทุ่มเลย ก็เล่นซะ 2 ห่าครึ่ง ทำเอาสายไหมเต็มไปด้วยกบ และอึ่งอ่าง ที่แผดเสียงร้องกันระงม กลับจากร้าน 5 ทุ่มกว่าก็ได้เวลาฝนพรำลงมาตลอดทางครับ แต่ไม่เป็นไร วันนี้ฉันเอารถมีหลังคามาว่ะ ไม่ได้แอ้มพี่หรอกน้องเอ้ย..

ถึงหอเที่ยงคืนครึ่ง น้ำท่วมซอยแม่งซะงั้น เดินลากขาบนน้ำระดับครึ่งฟุตมาจากอีกฝั่ง ตัวไม่เปียกแต่รองเท้าไม่เหลือซาก จนเข้าห้องมานั่งดูทีวีได้ซักพัก คิดอะไรเล่นเพลินๆ ...
...จากบางสะพานน้อย จนมาถึงแปดริ้ว ฝนตกไม่มีหยุดเม็ด
...จากแปดริ้ว ไปจนถึงเขาชะเมา ฝนตกลงมาล้างตั้งแต่หัวถึงหาง เย็นดีจริงๆ
...
ในกทม. ฝนตกมาตั้งห่าใหญ่
คิดถึงฮาร์เลย์ชิบหายเลย

มิถุนายน 2553

9.6.53

วินัยดี เริ่มต้นที่ข้างถนน



คงคุ้นเคยกันดีกับคำว่า วินัย นะครับ สองคำสั้นๆ ที่เราๆ ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จากตำราเรียนในชั้นหรือสื่อโทรทัศน์โดยทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่งป้ายกะหลั่วๆ ตามทาง ที่ว่าด้วยความมีวินัยของคนไทย ที่จริงเอาไปใช้กันทั่วโลกแหละ ภาษาปะกิตใช้คำว่า discipline .. อิอิ (ถ้าไม่แน่ใจ เปิดดิกสิ)

เกริ่นนำมาแบบนี้ เหมือนจะมีสาระทำให้ผู้หลงเข้ามาอ่านตกใจ ว่าไอ้นี่เขียนอะไรที่เป็นสาระได้ด้วยเหรอ
ป้าดโธ่..สิครับ ก็เป็นเหมือนกันแหละ แต่ว่าน้อย อิอิ

เมื่อเช้าแหกขี้ตาตื่นมาหลังจากนาฬิกามันปลุกตั้งร้อยรอบ แปดโมงก็ออกจากหอครับ แล้วก็บึ่งไปที่ทำงานเพื่อขึ้นรถบัสหน้ามหาลัย ข้ามฝั่งถนนแล้วก็พบกับฝูงเด็กนักศึกษาต่อแถวยาวกันเป็นหางว่าว เพื่อรอคิวขึ้นรถบัสที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้สำหรับการเดินทางไปเรียนและทำงานที่อีกวิทยาเขต แถบบางนา

เห็นแว่บแรกก็ร้อง โอ้ว กู ตายย ทำไมมันยาวยังงั้นวะ (หมายถึงแถว) แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินไปต่อแถวด้วยใจระทึกว่า งานนี้กูรอเหงือกบานแน่นอน ... ซักพักคิวที่ยาวเหยียดก็ค่อยๆ กระเถิบๆๆๆๆ แล้วก็กระชั้นเข้ามาโดยที่เวลายังเดินไปไม่ถึง 1 นาที ก็ได้แต่นึกในใจว่า เออว่ะ แม่งเร็วกว่าที่คิดแฮะ ขนาดแถวยาวแบบนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะช้าหรืออย่างไร

หรือว่านี่แหละคือข้อดีของการต่อแถว มันถึงได้ทำให้ระบบการขึ้นรถหน้ามหาวิทยาลัยมันใช้เวลาไม่ยาวนานเหมือนความยาวของแถวนักศึกษาที่มาเข้าคิวรอ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พร้อมใจกันต่อคิวด้วยความเต็มใจด้วย นึกภาพไม่ออกเหมือนว่าถ้าในทางกลับกัน จำนวนเด็กเยอะเท่านี้ แต่มันแย่งกันขึ้นพร้อมๆ กันที่ประตูข้างรถ มันจะช้าขนาดไหน เพราะต่างคนต่างก็พยายามจะเข้าไปให้ได้
ดีที่นักศึกษาของเรา (แหม ขี้ตู่) เขามีวินัยกันขนาดนี้

...วินัยที่ดี เริ่มต้นที่ข้างถนน...

คือเอามาลงให้ตัวเองอ่าน ใครผ่านมาแล้วจะชมมั่งวะเนี่ย
แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้ดังๆ จะมีใครฟังมั้ยวะ
ช่างเถอะ เรามีวินัย ไม่ต้องสนใจใครหรอก

ปล. ก่อนจะถึงคิวผมที่ต้องแตะบัตรคิวขึ้นรถ มีเด็กจีน 3 คนปาดมาจากด้านหลัง พร้อมกับพูดเสียงดังอารมณ์ประมาณว่าพ่อมันตาย..แล้วก็แซงคิวขึ้นรถไป เออ ดี แม่ง เล่นกันแบบนี้เลย ประเทศพี่ไม่มีคำว่า วินัย ล่ะมั้งแสดด

แฟ้มบุคคลขอแจกกล้วยดังๆ เหี้ยจีนๆ
มิถุนายน 2553

ร้อนอีกแล้วโว้ย!



กลับมาอัพบล็อคอีกครั้ง หลังจากง่วนอยู่กับภารกิจภาคกลางคืนอันแสนวุ่นวาย ระหว่างนั้นก็มีเรื่องมาให้ปวดกบาลอีก 1 เรื่องใหญ่ นั่นก็คือ เรื่องรถยนต์ที่ตัวเองซื้อมาใช้ในชีวิตประจำวัน (จริงๆ ไม่ได้ใช้ประจำวัน ใช้แค่ประจำเย็นเท่านั้นแหละ) เกจ์วัดความร้อนขึ้นมันซะอย่างนั้นครับ ซึ่งมันก็จะไม่แปลกหรอกถ้าเกิดกับคนปกติทั่วไป แต่นี่มันเกิดกับคนผิดปกติอย่างเรา มันก็เลยเป็นเรื่อง

คือว่าผมใช้รถยนต์มาแล้วเป็นจำนวน 3 คันครับ (ก็เกาสิฮะ) .. รถทุกคันวิ่งดี ช่วงล่างปึ้ก เครื่องเสียงจ๊าบ แอร์เย็นสบาย แต่งตัวสวยงามหมดจด แต่ประทานโทษครับ ทุกคันล้วนแล้วแต่มีเหตุทำให้เกิดภาวะ ความร้อนขึ้นสูง ทั้งในขณะขับขี่และไม่ได้ขับขี่ (คือบางคันสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้เฉยๆ ความร้อนแม่งก็ขึ้นซะยังงั้น)

คันแรกก็เกิดจากความสะเพร่าของศูนย์บริการ ที่เปิดฝ่าครอบเครื่องและปิดไม่สนิทจนทำให้ในระยะยาวนั้นเกิดความเสียหายต่อฝาสูบ จนเป็นที่มาของเรื่องที่ว่า คันที่สองนี่ก็เอาตามอย่างมั่งครับ แต่เหตุเกิดแปลกกว่าชาวบ้านหน่อยนึงตรงที่ รุ่นพี่ผมที่เป็นช่าง ฟันธงอาการว่ามันเกิดจากเซนเซอร์ความร้อนของรถเพี้ยนแน่นอน...แต่ช่างเถอะ กูขายมันไปละ...ส่วนล่าสุดไอ้คันที่สาม เกิดจากท่อน้ำที่อยู่หลังเครื่องยนต์มันรั่วครับ ความร้อนมันก็เลยพุ่งจี๊ดมาจนน่าตกใจ (สำหรับผม)

สามครั้ง สามปี แฮททริกสกอร์เลยกู
ซ่อมได้ ไม่มีปัญหา เปลี่ยนอะไหล่แล้วก็หาย
แต่ประสาทหลอนนี่แก้ยังไงก็ไม่ดีขึ้นนะครับ

โดยเฉาะผมนี่แหละ

มิถุนายน 2553

2.6.53

โลกกลางคืน (ภาครับผิดชอบ)




บาร์เหล้าปั่นเล็กๆ ที่ไม่ค่อยบรรจงทำซักเท่าไหร่ แค่ตั้งใจที่จะมีชีวิตกลางคืนในภาครับผิดชอบบ้างก็เท่านั้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็เฝ้ารอแสง สี เสียง รอบๆ บ้านเริ่มบรรเลงและเชื้อเชิญวิญญานของเราออกไปจากร่าง เพื่อไปพบปะคนเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นกิจวัตร เงินก็ปลิวไป ปลิวไป~

ตั้งต้นเปิดอย่างจริงจังเมื่อวานนี้ (31 พค 53) หลังจากที่เปิดๆ ปิดๆ มาได้สองอาทิตย์เพราะว่าติดเคอร์ฟิว ก่อนหน้านั้นก็หวั่นว่าใครจะมากินวะ ไกลชิบหาย ... แต่เดี๋ยวนี้ ... ก็ยังหวั่นเหมือนเดิมนั่นแหละ ใครจะมากินวะ แม่งโคตรไกล
แต่ไม่เป็นไร นี่มันเป็นอีกไตรภาคนึงของเรา ประเดี๋ยวมันคงดีขึ้นเองตามดำหลับ (ลำดับฮะ..!)

นั่งมองแสง สี เสียง รอบๆ ข้าง เป็นเหมือนกับที่เคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว
ผิดแต่ก็เพียงคราวนี้เป็นโลกกลางคืนในภาครับผิดชอบก็เท่านั้น
เงินไม่ต้องไหลมาเทมานักก็ได้ ขอแค่แวะมาฉี่ข้างเสา เราก็ปลื้มใจ

มิถุนายน 2553