17.12.61

ตะนาวศรี 2018 ระยะ 66 กิโลเมตร















ปีนี้วิ่งไม่จบแหละ ระยะ 66 กิโลเมตร
วิ่งได้แค่ 40 กิโล แล้วก็ถอนตัวออกจากแข่งขัน (DNF)
เพราะเจ็บต้นขาซ้าย Illiotibal Band Syndrome (ITBS)

เจ็บชิบหายครับ
เจ็บจนต้องยอม
เพราะวิ่งลงมา 7 โลได้
เหลืออีกราว 3 โลจะถึงจุดคัทออฟ
พอดีกว่า ฝืนไปอาจจะเจ็บหนัก

เขียนไว้ในนี้แหละ
สารานุกรมเล่มใหญ่
ว่าด้วยการทำไม่สำเร็จ
DNF66 ENCYCLOPEDIA
📚🦊👓🌱
หมายเหตุ: ผม DNF ตัวเองก่อนถึง WS-4 ประมาณ 3 โล มีสาเหตุเดียวที่พกไว้ ถ้าจะยอมแพ้บอสใหญ่ คือ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ นอกนั้นก็ซัดกันให้หมอบกันไปข้าง
- ตะนาวศรีปีที่สาม มาปีนี้รูทใหม่ งอกออกมาทางขวา เนิน บวกทางราบสลับเขาเล็กๆ พอวิ่งได้ พอเรียกเหงื่อ อัพฮิลไม่เกรงใจสายคาด-อกที่รัดไว้ ฝนตกก่อนหน้างานจะเริ่ม ซึ่งเป็นสัญญานที่หลายคน รวมถึงผมด้วยที่บอกว่า "สนุกล่ะแม่ม"
- นึกถึงหน้า "เฮียแหลม" เขาตัวพ่อที่รออยู่ขากลับ หลังจากวิ่งมาแล้ว 53 โล กับฝนฉ่ำๆ ที่โปรยลงมา ชาวฮิลล์รีพีท 10hrs รู้กันดี เหมือนเราเทน้ำสลัดซิสเลอร์ลงบนผักโขมสีเขียวที่ชอบ สวรรค์กับนรก มันต่างกันที่คนมอง เฮียเล่นกูแน่นี่นึกในใจ
- ผมซ้อมวิ่งขึ้นลงตึก 11 ชั้น เกือบสองปี หาความรู้จากในนี้ และนอกจากนี้บ้าง ใช้ที่จอดรถ เป็นที่กระทำชำเราตัวเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกาย ท่อนล่าง รวมไปถึง "ใจ" ให้แข็งพอ ที่จะกดสมัครไปล่อกับ "เฮียแหลม" ปีที่สามติดกัน
- ผม"เลือก"กินอาหาร เพื่อ"เปลี่ยน"ตัวเอง ซึ่งได้จริง ถ้าตั้งใจ เพราะปีนี้เลือกเล่นสุดทางรักที่รูท 66 ต้องกินดี
- เวลาผ่าน ร่างกายผมเปลี่ยนไป หลังจากวิ่งรูท TNT30 ครั้งที่สอง สลับวิ่ง 50KPTC ทุกอย่างเปลี่ยนไปดีกว่าเดิม การกดสมัคร TNT66 จึงไม่ใช่เรื่องของ "ใจ" เพียงอย่างเดียว (แน่นอนว่าเมียอนุญาตด้วย)
- สตาร์ทห้าทุ่ม ผมชอบ แต่ที่เสียอย่างเดียวจริงๆ คือ มันมองหน้ากันไม่ได้เพราะแต่ละคนพกมาอย่างต่ำ 200 ลูเมน ซึ่ง - แสบ - ตา - ชิบ - ห้ายย เวลามองหน้ากัน
- เชคบิบแล้วปล่อยตัว สิ่งที่กลัวอันดับแรกในป่าตอนเที่ยงคืนกลับไม่ใช่ผีหรืองูที่คิดไว้ แต่มันคือ ง่วง (ว้อย) สัด 555 แต่ผมเตรียมการมา งัดเจลกาแฟมากิน ซึ่ง - มะ ได้ ช่วย เฮี้ย ไร เลย
- ปีนี้วิ่งขึ้นได้ดี จนบางทีก็ตกใจ นี่กูไม่เหนื่อยเลยหรือว่ากำลังจะหัวใจวายวะ แต่ก็ตามที่ซ้อมมา บันไดลานจอดรถขึ้นลง 380 ขั้นที่ใช้วิ่งมาแรมปี กลับไปคราวนี้ไม่ว่าสภาพไหน จะไปกราบแม่ม
- ซ้อมเถอะครับ มันจะได้ดี ผมบอกได้เท่านี้ จนถึงยอดเขากระโจม ราวหกโมงเช้าโชคดีของผมอย่างคือ ขึ้นไปตอนฟ้าเปิด "สวยชิบหาย" ขอบคุณขา ที่พากูมา เติมเต็มสิบห้าปีก่อนเคยตั้งใจว่า จะขับรถขึ้นซักครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ทำ ผมกำโพลล์ วิ่งลงด้วยความอิ่มใจ
- สองชั่วโมงจากบนยอดนั้น ลงข้างล่างสุดอีก 13 โลถึงวัดผาปก (นึกหน้าไม่ออก) รู้แต่ว่า ดาวน์ฮิลล์ลงไวไปทันแน่ผมจึงอัดมันหมดตับ รองท้งรองเท้าพังเละเทะ การดาวน์ฮิลล์ยาวและนาน ขาต้องแข็งแรงเอาเรื่อง แต่ผมนั้นไม่ใช่
- กล้ามเนื้อต้นขาซ้ายด้านนอก เต้นเป็นเจ้าเข้า มันส่งสัญญานถึงเจ้าของขาว่า "ชิบหายแล้วนาย ผมคิดว่ามันตายแล้ว" พร้อมกับบอกให้เราเบาคันเร่ง
- วิ่งลงสั้นๆ สลับถอยหลังบ้าง เอียงข้าง ทุกอย่าง ทุกทางที่จะทำให้ลงจากที่สูงได้ จนถึง red line สุดท้าย ผมก็เลิก
- พอเถอะ อีกแค่ 3 โลก็จริง แต่ถ้าวิ่งอัดลงไปไม่คิด ชีวิตเอ็งได้เดินขาเดียวไปอีกนานแน่ เวลากับระยะทางมันเหลือแต่สิ่งที่ควรเผื่อคือ ชีวิต หลังจากวิ่งนะ
- ผมถึงพื้นราบวัดผาปกเลยคัทออฟไม่กี่นาที ถ้าอัดลงมาก็ทัน แต่ช่างเถอะ หันไปกราบหลวงพ่อองค์ใหญ่ หลังจากเดินทอดน่องทักทายให้กำลังใจเพื่อนๆ ที่กำลังเดินสวนขึ้นไปที่แยกน้ำหมก เพื่อกลับไปเซิ้งกับ "เฮียแหลม" ด่านท้ายสุด ซึ่ง ไอ่สัด สงครามระยะ 66 เพิ่งเริ่มนะนั่น
- วิ่งเผื่อด้วยนะ/สู้ ๆ/เก่งมาก/พักกินข้าวต้มนะ/อีก 23 โลอย่าท้อล่ะ/ฯลฯ ... ผมเก็บคำเหล่านี้ใส่กระเป๋า ขึ้นรถสองแถวกลับจุดสตาร์ท วลีพวกนั้น มันสวยงามครับสำหรับผม
- วิ่งไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต dnf ก็ด้วย แต่เมื่อไหร่ที่เริ่ม มันจะเปลี่ยนชีวิตเราไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย นรก หรือ สวรรค์ มันแล้วแต่คนๆ นั้น เลือกมอง
- ก่อนผล็อยหลับในเต๊นท์อำนวยการ ผมแบกการบ้านจาก TNT66 มาเก็บไปฝัน มีงานให้ซ้อมต่ออีกปี และมันต้องได้ดี
- กลับรีสอร์ทสายๆ แช่น้ำเย็นในลำธาร ยืดเหยียดพักนึง อัดโปรตีนเข้าที่เดิม เช้าวันต่อมาผมตื่นตีห้า ออกวิ่งวอร์มที่หลายคนเรียกว่า คลายกรด เดินขึ้นบันได ยกขา พาลูกเล่นน้ำ กอดเมีย พรุ่งนี้กลับไปทำงาน และน่าจะ
ซ้อมต่อได้วันถัดไป
- นี่สิถึงจะเป็นการวิ่งที่ใช่ นี่คือสวรรค์ของผม
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะครับ พบกันปีหน้านะ ❤️