30.8.54

รู้ว่าต้องการอะไร



เมื่อคืนนั่งดูรายการช่อง 3 ที่นำเอาดารา 3 คนมาออก เกี่ยวกับการถ่ายทำ Reality Movie ที่ชื่อโครงการแสนอบอุ่นว่า "พลิกใจ ให้พอเพียง เพื่อสุขที่ยั่งยืน" ฟังดูพอเพียงดีนะครับกับโครงการที่ว่า ดาราทั้ง 3 คนประกอบไปด้วย โอปอล์, คริส หอวัง และซันนี่ ได้มาเปิดใจและพูดถึงการทำรายการ Reality ที่ทั้ง 3 คนมีส่วนเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านของบางตำบลในประเทศไทย พูดง่ายๆ ก็บ้านนอกนั่นล่ะครับ เพื่อศึกษาว่า ชีวิตพอเพียงนั้นเป็นเช่นไร

ชอบคำพูดของซันนี่ที่ว่า "ผมคุยกับตัวเองรู้เรื่อง รู้ว่าตัวเองต้องการ และมีอะไรบ้างแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องอยากได้เพิ่ม หากมันไม่มีความจำเป็นจริงๆ"

ซันนี่ว่า ผมไม่จำเป็นต้องมีรถครับ เพราะผมมี BTS มีรถไฟฟ้าใต้ดิน และแท๊กซี่ ซึ่งมันตรงกับความจำเป็นจริงๆ ของผม หากวันใดวันนึงผมมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องเสียเงินเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นสำคัญอย่าง "จำเป็น" จริงๆ เขาจะยอมเสียเงินเพื่อสิ่งๆ นั้น

อะโห มันเป็นอะไรที่ดูง่ายดายมากนะครับ ในการทำความเข้าใจความหมายของคำที่เขาพูด แต่ใคร?? จะทำแบบที่เขาพูดได้ นี่สิเรื่องยาก การตระหนักรู้ว่าตัวเองนั้นต้องการอะไรนี่สำคัญ เพราะมันจะทำให้เรา "หยุด" ความต้องการโดยที่ "ไม่จำเป็น" ออกไปแบบอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมีใครมายืนกำกับอยู่ข้างๆ

วิธีปฏิบัติในเรื่องของขั้นตอนการนำไปสู่ความ "พอเพียง" นั้นอยู่ในเว็บ www.84tambonsforking.com นะครับ จุดมุ่งหมายของการพอเพียง ไม่ได้หมายถึงว่า จะให้เรากลับไปเป็นชาวนาหรือคนสวนตามบ้านนอกนะครับ แต่จะเป็นอย่างไร คงต้องไปตามอ่านกันเอาเอง

การรู้ตัวเองว่าเราต้องการอะไร คงเหมือนการที่เรามีรีโมทเอาไว้บังคับตัวเอง เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับนิ้วและสมอง ผนวกกับความอยากของเราเสียส่วนใหญ่นะครับ ว่าอยากดูช่องไหน บางทีเราเปลี่ยนช่องไปมา จนเรารู้สึกไปเองว่า ไม่เห็นจะมีอะไรน่าดู ทั้งๆ ที่จริง ถ้าเรานั่งดูช่องนั้นจนจบ เราอาจจะสนุกและได้เนื้อหามากกว่าที่เราคิดก็เป็นได้

ขึ้นอยู่กับความต้องการเปลี่ยนช่องของเรา แท้ๆ นั่นล่ะครับ
รู้ว่าต้องการอะไร ชอบอะไร อยากดู และอยากทำอะไร
แค่นั้นจริงๆ







26.8.54

Angel



ตัวผมเองล่ะครับ แบบนี้ล่ะ ตรงเป๊ะ
อยู่บนยอดเขา มองลงมาข้างล่าง
ข้างบนนี้ไม่มีใครก็ดีแล้ว อยู่ได้
ข้างล่างเป็นยังไงกูไม่รู้ แต่อยากอยู่ข้างบนด้วยกัน
ก็เดินขึ้นมาเอง

ทิฐิ มานะ
ตัวหลักและตัวหนักเลยนะครับ ทำให้คนบางคน
มีความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ เฉยชาได้นิ่งสนิท
แข็ง (บางคนสัมผัสบอกว่ากระด้าง หยาบ)
มากกว่าผสมด้วย อิฐ ปูน หรืออะไรในสมัยนี้ซะอีก

จะว่าไป ข้างบนมันนี้ไม่ได้สวยหรู แล้วก็ไม่ได้ดูดีด้วยนะ
หนาวก็หนาว เหงาก็ตัวเท่าบ้าน แต่อยู่บนนี้ล่ะสบายดี
รอบตัวไม่มีใคร ไม่สร้างความวุ่นวายใจให้คนอื่น

อยากมาก็มาเอง
อยากลงก็ลงไปได้
เทวดาขออยู่กับที่
ตรง ทิฐิ มานะ นี่ล่ะ
สุขดีในแบบที่เป็น

สิงหา 54
HD จะมาแล้วโว้ยยยสาดดด

23.8.54

เคลียร์



ขับเต่าออกมาจากบ้านเมื่อเช้า เลี้ยวซ้ายไปทางบางนา-ตราด (ผมไปได้สองทาง ลาดกระบัง กับ บางนา) เพราะว่าทางขวามือ รถติดลามมาจวนจะถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ขืนเลี้ยวขวาน่าจะรอนานกว่าจะออกปากซอย ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า แล้วก็ขับไปเรื่อยๆ 60-70 กม/ชม

วันนี้ฟ้าสดใส ดูดีกว่าเมื่อหลายวันที่ผ่านมานะครับ ฝนเลิกตกแล้วหรือไงวะ คิดในใจพลางหยิบมือถือง่อยๆ มาเก็บภาพเมฆปุยน้อยๆ ลงเมมโมรี่...แฉะ...มือถือกูนี่มันห่วยบรม ได้ความกว้าง x ยาว 640 x 480 เท่านั้นเอง แถมความละเอียดก็ยังกากตามภาพที่ลงไว้อีก

แต่ไม่สำคัญหรอก ว่ามือถือจะกาก กล้องจะห่วยขนาดไหน
ถ่ายไปแล้วก็ไม่เห็นจะได้อะไร สวยก็เปล่า
ขอให้ท้องฟ้าเคลียร์แบบนี้ ก็พอแหละ

บางที การทำอะไรเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่ต้องคำนึงถึงหรอก ว่ามันจะได้ผลอะไร
ไม่ต้องใช้อะไรสวยหรู แต่ทำแล้วมันดูออกมาเคลียร์
ก็น่าจะพอมั้ง

หรือไม่เกี่ยววะ 55

สิงหา 54

ทุกสิ่งวุ่นวาย แต่เรากลับเริ่มนิ่ง

22.8.54

ฝุ่นใต้พรม



ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เมื่อสิ่งที่เราไม่คาดคิด มันเกิดขึ้นใกล้ตัว กับคนที่อยู่ข้างๆเรา
ซึ่งที่จริงแล้ว เป็นเรื่องราวอันแสนจะธรรมดาสามัญของมนุษย์ ที่เวียนว่ายตายเกิด
อยู่ในวนเวียนของการปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง โมหะ โทสะ การหึงหวง จองเวร อารมณ์ชั่ววูบ ฯลฯ

เพียงแต่ว่าเราเอง ไม่เคยคิดที่จะใส่ใจ
เรื่องราวอันเป็นธรรมดาสามัญเหล่านั้น
หรือหยิบเอามาปรุงรสเหมือนเช่นคนอื่น

เพราะมัวแต่คิดไปเองฝ่ายเดียว ว่าคนใกล้ตัวเรา
คนรอบข้างตัวเรา คงไม่ได้หมกมุ่น หรือยืนอยู่ในวงเวียนเหล่านั้นเป็นแน่

แต่ความจริงแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป
สิ่งที่เป็นสามัญบนโลกหนึ่งอย่างก็คือ ในทุกๆ ที่ ที่เราเห็นว่าสะอาด
ขาวเนียน หมดจดไรฝุ่นผง ตู้ ต่าง เตียง พื้น และพรม ฯลฯ
ที่นั้นมักจะมีละอองฝุ่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังก็ตามที

และเมื่อเรายืนอยู่ตรงนั้น สิ่งที่ต่างวาระกันก็เป็นแค่เพียง

1.ได้เห็น
หรือ
2.ไม่ทันได้เห็น
แค่นั้นเอง

ถ้าได้เห็น ก็คงเป็นตัวเลือกที่ง่ายดายในการที่จะ ละ และไม่ฝืนเดินเข้าไปยืนอยู่บนพรมนั้น เพราะรังแต่จะคันเสียเปล่าๆ
แต่ถ้าหาก
ไม่ทันได้เห็น ก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากพึงระมัดระวังตัวเอง ไม่ให้ฝุ่นรอบๆ ตัวมาทำให้เราเกิดอาการคันมากไปไปกว่าเดิม

การที่...คิดไปเอง...มองและคาดเดาไปเอง...
จะด้วยความรู้สึก หรือคำยืนยันจากปากของคนใกล้ตัว ว่าไม่น่าจะมี ไม่มีแล้ว ฯลฯ
จนกระทั่งได้อยู่ใกล้ชิด และได้สัมผัสไปซักระยะ ถึงได้รู้ว่า เมื่อ ณ เวลาหนึ่ง พรมนั้นถูกเปิด
และทำให้เรามองเห็น ฝุ่น ที่อยู่ข้างใต้

........ .. .

ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงระงับสติไม่ได้
แต่​ ณ วันนี้ รู้สึกเฉยๆ ไม่อยากทำอะไรมาไปกว่า
การนั่งคิด (เข้าข้างตัวเอง) เสียว่า การที่คนใกล้ตัวเขาคิดไม่เหมือนกับเรา
นั้นไม่ใช่เรื่องผิดแผกแต่ประการใด มันก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญทั่วๆ ไป
ที่ใครเขาก็มีกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนของเรา

เหมือนฝุ่นใต้พรมที่เรามองไม่เห็น
ที่ไหนไหนก็มี ใครก็มี อย่างไรก็อย่างนั้น

กระโหลกหนาๆ เช่นผม สู้ไม่รู้อะไรเลย ยังดีเสียกว่ามารู้ได้เอาภายหลัง
ว่าฝุ่นผงที่เราเคยไม่เคยเห็น ไม่เคยคิด ก็ใช่ว่ามันจะไม่มี

เพราะว่าบางที ฝุ่นที่มันอยู่ใต้พรม
มันเป็นแค่เรื่องธรรมดาสามัญ
ของคนทั่วๆ ไป แค่นั้นจริงๆ...

เสียใจ แต่ก็คงไม่มีใครคิดอย่างเรา
เพราะคนอื่นเขาก็คงเห็นมันเป็นเพียงแค่
เรื่องธรรมดาๆ อีกนั่นแหละ

สิงหา 54

ไม่รู้จะเดินต่ออย่างไร ความโกรธ กับ ความเสียใจ
มันให้ความรู้สึกที่ต่างกัน หากบอกเสียตั้งแต่ต้น
คงไม่คิดอะไรมากไปกว่าเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
จะได้พึงระลึกอยู่เสมอว่า กะลาของเรามันอาจจะหนาเกินกว่าที่จะเข้าใจอะไร
ที่มีอยู่บนโลกจริงๆ ก็เป็นได้

LIFE - FIXED 2






เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา หยิบจักรยานไปปั่นเล่นมาครับ วันนี้ฮึกเหิมคิดการใหญ่ อยากปั่นออกถนนลาดกระบัง วิ่งไปเส้นเลียบข้างสนามบินสุวรรณภูมิ จับจักรยานได้ก็ปั่นแม่งโล่ดครับ ไม่มีการวอร์มใดๆ ทั้งสิ้นอะ ปั่นๆๆๆๆๆๆๆ

ออกปากซอย 54 เลี้ยวซ้ายแล้วก็ปั่นๆๆๆๆ
โอว รถเยอะชิบหาย ปั่นๆๆๆๆๆๆๆ
ขึ้นสะพานตรงตลาดลาดกระบัง
โอว สะพานแม่งชันชิบหาย ปั่นๆๆๆ

เลี้ยวซ้ายเข้าสนามบินครับ
โอว สะพานแม่งชันชิบหาย แถมยาวชิบหายด้วย
ปั่นๆๆๆๆๆๆๆๆ โอว เหี้ยแล้ว มาได้แค่กลางสะพาน
แล้วก็หยุดหอบแดกครับ...

ปั่นต่อๆๆ กรั่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ลงสะพานแล้วโว้ยยยยยย!! ฟริ้ววว~~~~

แล้วก็ปั่นตรงไปเรื่อยๆ ครับ เลี้ยวขวาตรงหัวมุมสถานีตำรวจ ราชาเทวะ แล้ววิ่งตรงไป เจอแยกก็เลี้ยวซ้าย เลาะริมถนนเส้นข้างสนามบิน แถวๆ รันเวย์ โอว รถแม่งวิ่งกันเร็วชิบหาย นี่ถนนหรือสนามพีระเซอร์กิตวะ คิดในใจว่า ถ้าปั่นแล้วไปยูเทิร์นเอาข้างหน้า เราอาจจะโดนรถบัสคาบไปแดกได้ ก็เลยยกจักรยานข้ามตรงฝั่งเกาะกลางถนนแม่งดื้อๆ เพราะไม่รู้ว่าทางยูเทิร์นมันอยู่ไกลแค่ไหน ปั่นต่อซักแว้บแล้วก็จอดข้างทางตรงรันเวย์ ถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย

...ซักพ้ากกก...ปรี๊ดๆๆๆ

อ้าว ตำรวจโบกให้ออกมาจากไลน์ของเสาที่ปักไว้ริมรันเวย์ (เสาหลักกิโล ที่มีสีเขียวคาดรอบเสาส่วนบนสุด...เสาอะไรก็ไม่รู้)
พี่แกคงคิดว่า เรามาเก็บภาพสนามบิน เพื่อกลับไปวางแผนกับพรรคพวกมาวางระเบิดสนามบินล่ะมั้ง (จะบ้าเรอะ)
แต่ไปก็ได้วะ ดีนะที่เก็บภาพไว้ได้หลายรูปแล้ว ชิ


แล้วก็ปั่นๆๆๆๆๆ กลับบ้านนๆๆๆ
สาดเอ้ย สะพานยาวๆ นั่นอีกแล้ว
ฮ่วยๆๆๆๆๆๆๆๆ

สิงหา 54

ปล. กูจะใส่วงเล็บทำไมนักวะ (เออเนอะ)
ปลล. ช่วงเย็นๆ ที่สนามบิน บรรยากาศดีนะครับ น่าไปปูเสื่อนั่งเล่นเพลินๆ เหมือนกัน เหลือบไปเห็นรถกระบะวิ่งอยู่ในรันเวย์ คอยจุดพลุหรืออะไรซักอย่าง เพื่อไล่นกที่อยู่รอบๆ รันเวย์ด้วยนะ เสียงดัง ปังๆๆ เป็นระยะ เล่นเอาจักรยานแมนสะดุ้งโหยงเหมือนกัน
แค่มาจอดถ่ายรูปแค่นั้น ถึงกับต้องยิงกันเลยเรอะ

- -''

18.8.54

The Erawan Museum






โดดงานไปเที่ยวมาครับ ไม่รู้จะไปไหนดี แรกเลยกะว่าจะไปดู พิพิธภัณฑ์เจษฎา เทคนิค มิวเซียม ซะหน่อย แต่พอโทรไปสอบถามที่นั่น ดันไม่มีคนรับสายซะฉิบ หรือว่าเราโทรไปช่วงที่เจ้าหน้าที่ไปกินข้าวกลางวันกันหว่า..

ไม่รู้ล่ะ ไม่รับก็ไม่อยากเสี่ยงไป เดี๋ยวปิดล่ะซวยเลย ขับรถฟรี เลยเปลี่ยนใจไปลงกลางทางครับ พิพิธภัณฑ์เหมือนกัน ไม่ได้เกี่ยวกับรถ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ (คำว่าพิพิธภัณฑ์นี่พิมพ์ยากชิบเป๋ง) ค่าเข้า 150 บาท เทียบกับขนาดของที่นั่น ผมว่าแพงไปนะ แต่ถ้าได้เข้าไปดู ความตั้งใจ ความศรัทธา และความรักในคุณค่าของสิ่งของโบราณ 150 บาทนี่ถือว่าคุ้มเลยละครับ คิดเสียว่าเอาเงินมาให้เขา เพราะเราต้องการหาที่ทำบุญ และเพื่อให้สถานที่แห่งความศรัทธาแห่งนี้ อยู่คู่เมืองปากน้ำไปตลอดกาล

เผื่อคนรุ่นหลังได้เข้ามาดู จะได้รู้ว่า ไม่มีอะไรบนโลกนี้ ที่พลังความศรัทธาสร้างไม่ได้
ลองไปชมละกันครับ ไม่ไกล ไป-กลับ ได้สบายๆ

สิงหา 54

ปล. อย่าลืมทดลองยกช้างเหล็กเสี่ยงดวงด้วยนะครับ ผู้ชายใช้นิ้วก้อย ผู้หญิงใช้นิ้วนาง แล้วก็อย่าลืมว่า วิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์ น่ะมาพร้อมกันนะ อิอิ

15.8.54

หายใจเบาๆ 4






กลับบ้านแปดริ้วตั้งแต่เย็นวันพุธ เอาคุณนายฝากไว้ที่อู่แจ๊คเพื่อให้ช่วย ปะผุ พื้นล่างที่มันเริ่มแย่ - แล้วก็ทิ้งรถไว้สองวันครับ แจ๊คทำให้เรียบร้อย เป็นอันสบายใจตอนขับขึ้นมาอีกนิดนึง (ถ้าไม่ทำ สงสัยหล่นกลางทางแน่กู) หมดตังค์ไป 3 พันไม่รวมค่าเหล้า อิอิ

วันแม่แห่งชาติปี 54 พาแม่ไปถล่มที่ร้านโอ๊ต ขาดก้องคนเดียวที่ติดงานมาไม่ทันเที่ยง แต่ก็ยังกลับไปถล่มแม่ด้วยส้มตำ ไก่ย่าง ที่บ้านได้อีก 1 ยก (555+)

ดูแม่แฮปปี้ดีนะ กับการที่ลูกๆ หลานๆ นอนกันเกลื่อนเต็มกลางบ้านแบบนั้น
กลับบ้านบ่อยกว่าเดิม ก็ท่าจะดี พื้นเต่าทำแล้วนี่ เครื่องก็พอไหว
บ้านเราก็ไม่ไกล กลับไปให้แม่ด่าเล่นน่าจะดี

สิงหา 54

ปล. หายใจเบาๆ ไปก่อนนะคุณนาย มีเงินเมื่อไหร่ ผมจะทำให้สวยเลย สัญญา

11.8.54

วันแม่



แม่ผมครับ คุณนายละม่อม :)
แม่สอนวิชาสังคมศาสตร์ เป็นครูแก่ๆ คนหนึ่ง ที่ใช้ไม้เรียว
และคำดุ ด่า ว่ากล่าวลูกๆ ในชุดนักเรียนทั้งหลาย
...ให้ตั้งใจเรียน...

...แม่รีไทร์ตัวเองออกมา ก่อนหน้าที่จะถึงวาระเกษียณ
ด้วยเหตุผลก็คือ ลูกทั้งหลาย เริ่มไม่ตั้งใจฟังที่แม่สั่งสอน​แล้ว
ครูแก่ๆ คนหนึ่ง จะไปสู้อะไรกับ High Speed Internet ยุคนี้ได้

แกเป็นโรคหอบมานาน นานจนเพื่อนสนิทคือโรงพยาบาล
รวมทั้งมะเร็วต้นขาซ้าย ที่แถมมาให้อีกนิดหน่อยในช่วงบั​้นปลาย
แม่อายุ 60 กว่าแล้ว สิ่งที่จะทำให้แม่มีความสุข เดาว่าคงไม่ใช่ยา
คงเป็นคำแค่เพียงว่า

"...ผมรักแม่นะ รักครูแก่ๆ ของผมครับ..."
สิงหา 54
วันแม่ บอกรักแม่ กูว่าแม่งโคตรแมน

10.8.54

เหี้ยไม่เปลี่ยนแปลง



กลับบ้านแปดริ้วมาเมื่อวันจันทร์ครับ แวะไปนั่งคุย นั่งสนทนากลางวงเหล้า ระหว่างเรากับเพื่อนสนิท หลายเรื่องที่ขบคิดก็บอกเล่าเก้าสิบกับเพื่อน ที่เป็นเสมือนตู้รับบริจาคที่วัด หยอดเท่าไหร่ก็ได้ตามศรัทธา เต็มแล้วก็ถ่ายออกเพื่อรับอานิสงฆ์ในครั้งใหม่

บทสนทนาก็วนเวียนกันในเรื่องของ ชีวิตที่ผ่านมา รวมทั้งงานเมื่อคืนวันเสาร์ ที่เมา (เนื้อ) กันชิบหายวายป่วง เดี๋ยวนี้เหล้ากลายเป็นของที่ทำให้เราสยอง เพราะตื่นเช้ามาเหมือนโดนช้างล้มทับ หนักหัวไปหมด (ดูดเนื้อเหี้ยกว่าเยอะเสือกไม่พูด) เต่าบ้าง มอไซค์บ้าง อำกันบ้าง ทุกเรื่องที่ผ่านไปก็จะวนอยุ่ในวาระกลางวงเหล้าแทบทุกครั้ง เอาเป็นว่าเรียกเสียงฮาได้อย่างต่อเนื่อง

ชีวิตผมมันก็วนอยู่เฉกเช่นนี้นั่นล่ะ เพื่อน รถและวงเหล้า มีบางสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่แว้บเดียวก็เลยผ่านไปไม่จีรังเหมือนเรื่องที่บอกไป สิ่งนึงที่ทำให้รู้สึกสะอึกอย่างแรง ก็คือการที่มีคนมายื่นคำว่า เหี้ย ให้นั่นล่ะครับ บางทีมันก็เหมือนเคาะกะโหลกหนาๆ ของผม ให้เปิดรับความคิดจากโลกภายนอกบ้างว่า มึงก็เหี้ยนะ

หลังจากขับรถกลับบ้านเมื่อวันก่อน ได้คิดเพลินๆ ระหว่างทาง หรือว่ากูนี่ จะเหี้ยจริงอย่างที่เขาบอกกันวะ...
ถ้างั้นการที่คนหนึ่งคน สาละวนอยู่แต่กับเรื่องไม่กี่เรื่องเป็นประจำ เฉกเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่า

มึงนี่ก็เหี้ยไม่เปลี่ยน
แบบนั้นหรือไง

สิงหาคม 2554

ปล. ถ้าตกเย็นก็กลับบ้าน นอกเกาไข่ดูทีวี เพื่อนโทรมาลากก็ขับรถไปแดกเหล้า เมาก็เข้านอน วนเวียนแบบนี้เป็นประจำ ก็น่าจะเรียกว่าเหี้ยเป็นประจำแน่ๆ

ปลล. ขอบคุณ Credit ภาพจากพี่ Bank Evo แม่งตามตุดกูมาเสือกมาอำอีกว่าถึงไหนแล้ว สัดเอ้ย เหี้ยไม่เปลี่ยน รูปสวยว่ะ >_<

8.8.54

RENOVATED






ตัดผมครับ!

ตื่นเต้นทำไมวะ 55 ก็แค่ตัดให้สั้นลง หลังจากไว้ผมยาวมา 2 ปีกว่า (หลังจากวันที่อ้วนมันตายไป) ไม่ได้รู้สึกหายคิดถึงมัน แล้วตัดผมทิ้งไปนะ แค่รู้สึกเริ่มชินกับหน้าตัวเองในวอลลุ่มผมยาวมานานพอละ ก็เลยทำการบูรณะซักที เผื่อว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น (แม่งไม่เกี่ยวกันหรอก เข้าข้างตัวเองไปงั้นแหละ)

ฉับแรกที่โดนตัด ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงใจหายวาบบบ แต่เมื่อวานเฉยๆ นะ ไม่รุ้ทำไม ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้

สงสัยเริ่มแก่ละ เริ่มปลงได้ 55
ตัดแล้วก็ค่อยโล่งหน่อย สระผมแว้บเดียวแห้ง ไม่ต้องมานั่งเป่าพัดลมเป็นชั่วโมงเหมือนเมื่อก่อน
แต่ไว้สั้นแค่ซักระยะ เดี๋ยวเบื่อกูก็ไว้ยาวอีก

เชื่อแม่งเถ้อะ...

สิงหา 2554
ปล.แม่ยังไม่เห็นเลย ถ้าเห็นแล้วแกจะทักว่ายังไงวะ
แต่แกแก่มานานละ คงจะปลงได้นานกับลูกคนนี้แล้ว 555

3.8.54

จั๊กก้า 1 @ศาลายา






กลับจากปั่นจั๊กก้า (ที่มหิดล ศาลายา เรียกงี้) หลายวันล่ะครับ มาอัพรูปซักหน่อย ปั่นท่ามกลางสายฝนที่โปรยเม็ดบางๆ รายล้อมด้วยต้นไม้ในพุทธมณฑลอันเขียวครึ้ม...ที่มหิดล ศาลายา ทางปั่นจั๊กก้าที่เขาจัดไว้ให้นั้น ดีมากครับ เป็นที่เป็นทาง และเป็นเรื่องเป็นราว ปั่นได้สบายใจเพราะมีทางเอกของจั๊กก้าโดยเฉพาะ

ถ้าประเทศไทยเห็นคุณค่าของจั๊กก้าแบบใน มหิดล ประเทศเราคงเห็นภาพรถคิด ควันดำ ฯลฯ น้อยลงมากกว่าที่เป็นอยู่นะ

ไปปั่น 4 โมงเย็น กลับออกมาจากที่ศาลายาก็ค่ำแล้ว พร้อมกับร่ำลาน้องๆ พี่ๆ ที่ชวนกันไปปั่น ไว้คราวหน้าไปโชว์พาวใหม่อีกรอบ ที่พิพิทธภัณฑ์รถ แถวนั้นล่ะครับ เห็นว่าจะแว้บบบ ออกไปชมตลาดอีกนิดหน่อย (ตายแน่กู)

ปั่นวันแรกๆ ก็เมื่อยขาเป็นเรื่องธรรมดาครับ
ตอนนี้เริ่มเข้าที่แล้ว ปากซอยไปกลับ ชิวๆ ว่ะ
(แต่ก็ยังเมื่อยเหี้ยๆ - -')

ส.ค. 54