23.2.53

คนที่รัก มักตายจากเราไป



เมื่อวานพาตัวเองไปงานหนึ่ง ที่ไม่เคยคิดอยากไป คือพิธีรดน้ำศพ แม่ของรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันมานาน และเคยอยู่หอเดียวกันมาเป็นเวลาหลายปี ท่านจากโลกนี้ไปเพราะโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หลังจากที่แม่พี่อุ้ยเข้าโรงพยาบาลไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว จนถึงลมหายใจในวันสุดท้ายของแม่คือวันที่ 21 กพ 2553 แม่ก็จากไปอย่างสงบเนื่องจากภาวะแคลเซียมสูงในเลือดจากมะเร็ง

เร็วอย่างน่าใจหาย เร็วชิบหาย...จำได้ว่าเมื่อปลายปีเรายังยิ้มและแซวแกก่อนเดินออกจากร้านอาหาร ไม่คิดว่านั่นจะเป็นการลาจากกันเป็นครั้งสุดท้ายของคนที่เรารัก มาวานนี้ร่างของแม่พี่อุ้ยนอนสงบนิ่ง ทิ้งความเคลื่อนไหวทุกอย่างไว้ด้านหลัง น้ำอบอาบศพที่รดมือแม่ไหลผ่านนิ้ว ที่ครั้งนึงเคยตีไหล่และจิ้มเอวพวกเราด้วยความเอ็นดู ต่อไปนี้ไม่มีอีกแล้ว

ผมนั่งคิดตลอดว่า สองปีนี้สิ่งที่ผมรัก มักตายจากเราไปเสมอๆ แต่ก็อุ่นในหัวใจทุกครั้งที่นึกถึง อยากให้ใช้ชีวิตทุกวินาทีให้มีค่ากับคนที่รักและรักเรา มันคุ้มค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด

ไม่รู้จะพิมพ์อะไรต่อนะแม่
ถึงแม่ไม่ใช่แม่ผม แต่ผมก็รัก
กราบตีนแม่ที่เคยให้ที่พัก เมื่อคราวที่ผมเมาไม่รู้เรื่อง
ขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงครับ

22 กุมภา 2553

9.2.53

life is yours




หากจะมีคำไหน ที่จะเป็นกำลังใจและแรงขับเคลื่อนให้กับใครหลายคนที่กำลังเจอปัญหา หรือกำลังเดินไปพบกับทางตัน ก็คงไม่มีคำไหนที่จะดีไปกว่าคำว่า ชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกคนกำหนดทางเดินกับชีวิตให้ตัวเอง เมื่ออนาคตมาจ่อคิวรออยู่ข้างหน้า และพร้อมที่จะฟังคำตัดสินว่าจะไปทางไหนดี ขอให้มั่นใจ

เพราะถ้าได้ตัดสินใจทำอะไรอย่างที่ตัวเองต้องการแล้ว สิ่งนึงที่จะตามมาก็คือยอมรับในสิ่งที่เราได้ตัดสินใจลงไป ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แหงนหน้ามองฟ้า แล้วบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เราเลือกเอง...

ถ้าหากได้พบกับสิ่งที่คิดว่ามันใช่ นั่นคือความสุขอย่างยิ่งที่จะได้รับ และมันจะอยู่กับเราตลอดไป

แต่การทำอะไรเพื่อคนอื่น นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะมีเหตุผลหลายอย่างที่บางคนนั้นไม่สามารถเลือกเองได้ แต่กระนั้น สิ่งนึงที่จะตามมาเหมือนกันก็คือ ต้องยอมรับในสิ่งที่เราได้ตัดสินใจลงไป ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แหงนหน้ามองฟ้า แล้วบอกกับตัวเองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เราเลือกเอง...

เพราะทางข้างหน้า ถึงแม้มันจะลำบากยากเย็น หรือไม่มีแม้กระทั่ง ที่ๆ จะล้มตัวลงนอน ก็ขออย่าหวั่น

เพราะชีวิตเป็นของตัวเอง

ด้วยรักและรักในสิ่งที่เราเลือก
กุมภาพันธ์ 2553

8.2.53

หากได้เห็นอาจเป็นกำลังใจ




แม่เคยบอกเสมอว่า ชีวิตมันวุ่นวายก็จริง มันมีเรื่องให้คิดเยอะก็จริง มีเหตุการณ์ร้ายๆ หลายอย่างก็ตามทีให้เราได้ตัดสินใจ และใช้สมองรวมทั้งเหตุผลในการแก้ไขปัญหา อาจจะลุล่วงบ้าง สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง วุ่นวายบ้าง สับสนบ้าง ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องหัวใจ ฯลฯ แม่บอกว่า "ฟังให้เยอะ คิดให้เยอะ ดูให้เยอะ แต่พูดให้น้อยที่สุด" เพื่อที่จะได้มีสติ คิดและตรึกตรองให้ถี่ถ้วน ว่าทั้งหมดมันสมควรที่จะไปในทางไหน ความเป็น ตัวกู ของกู ทุกอย่างในโลกนี้ที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเรา มันเป็นอย่างไร และจะทำอย่างไรกับ ตัวกูของกูที่ว่านี่ดี

ชีวิตมันวุ่นวายและวกวนเหมือนปลาที่อยู่ในสระน้ำ หากแต่ว่าคิดได้ และมีความสุขอยู่กับความเป็นจริง ยอมรับในบ่อน้ำที่เล็กแต่มีความสุขที่ได้มีชีวิต นั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดี ใช่หรือไม่ใช่ ไม่มีใครตอบได้ แต่ถ้าทำได้น่าจะเป็นเรื่องดี

แม่บอกทิ้งท้ายว่า...ถ้ามองปัญหาไม่ออกในระยะใกล้
ให้เดินถอยออกมาซัก 2 ก้าวแล้วค่อยมองไปที่ปัญหานั้นใหม่อีกครั้ง
อย่างตั้งใจ และมีสติ
ถ้าได้เห็น..นั่นอาจเป็นกำลังใจให้สู้ต่อ

กำลังใจจากแม่ผม
ให้ใครหลายคนที่กำลังวกวน
และวุ่นวายอยู่
กุมภา 53

4.2.53

ที่เก่าแต่เราไม่เหมือนเดิม



หลายครั้งที่เวลา พาเราออกไปจากที่ที่คุ้นเคยเป็นเวลานาน นานจนเมื่อวันนึงได้กลับมายังที่เดิม มันเปลี่ยนแปลไปแต่เราไม่เปลี่ยนแปลงตาม แต่ในบางเวลาที่เราเลือกเดินออกมาจากที่ที่คุ้นเคย เป็นเวลานาน และวันนึงได้กลับไปยืนที่ตรงนั้นอีกครั้ง มันเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับที่เราก็เปลี่ยนไปเช่นกัน...

สามวันที่แล้วหลังจากขี่ nightster กลับมาจากทำงาน ก็ใช้เวลาช่วงหลังพระอาทิตย์ตก ไปสังสรรค์กับเพื่อนและรุ่นน้อง ที่สนามฟุตบอลหน้าพระบรมรูป ร.5 ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา หลังจากที่ตัดสินใจหันหลังให้กับการเตะลูกหนัง เป็นเวลา 4 ปีเต็ม เนื่องจากภาระต่างๆ หน้าที่การงาน รวมทั้งอาการบาดเจ็บ และความอิ่มตัวหลายอย่าง ที่เข้ามาเป็นระยะๆ

พื้นที่วิ่งเล่นตอนเด็กๆ ของผม ณ วันนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป ศาลาทรงไทยหลังเก่าหน้าศาลากลางจังหวัดถูกรื้อถอนออกไป และกำลังก่อสร้างอาคารใหม่ที่คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ (เหรอวะ) หลังจากรวมตัวกันได้ครบจำนวนคนแล้วก็เริ่มบรรเลงเพลงเตะลูกหนังข้างถนนกันครับ เตะกันอีรุงตุงนัง วิ่งกันพล่านเหมือนสมัยก่อนไม่มีผิด รวมเวลาที่ไม่ได้นั่งนับประมาณ 2 ชั่วโมงเกมส์ก็จบลงอย่างเรียบร้อย

สองวันผ่านไปจวบจนเข้าวันที่สาม ( 3 กพ. 53) ผมก็พบกับปัญหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครเลย แต่เกิดจากการร้างสนามเป็นเวลานาน นั่นก็คือข้อเท้าเจ้าปัญหาข้างเดิมๆ ที่เป็นอาการเรื้อรังจากการตระเวนเล่นฟุตบอลอย่างหนักหน่วงเป็นเวลา 15 ปีเต็มในสมัยวัยรุ่น (ตอนนี้ก็ไม่แก่เท่าไหร่นะจ๊ะ) เมื่อรู้สึกว่าเจ็บก็เลยหยุดแล้วก็เดินเป๋ออกมาข้างสนาม เพื่อจะรอดูอาการว่าเป็นอย่างไร

10 นาทีผ่านไป ไม่มีวี่แววว่ามันจะดีขึ้น ก็เลยเผ่นกลับบ้านดีกว่า ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนก็คงเล่นต่อไปโดยที่ไม่สนใจว่า ขาข้างที่เจ็บมันจะหลุดออกมาเมื่อไหร่ เพราะเรามั่นใจในความมันส์ในสนาม ที่สามารถทำให้เราลืมความเจ็บปวดได้โดยสนิท แต่เดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงกันได้ ขนาศาลาไทยเก่าอยู่มายี่สิบกว่าปีเขายังรื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ได้ ขากูเจ็บกูก็กลับบ้านสิครับ จะรอทำปลวกอะไรล่ะ

พรุ่งนี้ต้องทำงาน
ไม่เท่ห์เลยถ้าเจ็บขา
แล้วไปนั่งน้ำตาร่วงที่ทำงาน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะแม่ง...

ลาล่ะครับ
3 กพ. 53

2.2.53

เดือนแห่งความรัก



ใครที่เชื่อและศรัทธาในเรื่องของความรัก
คงมีความสุขและมั่นใจในความรักของตัวเอง
เมื่อมีความสุขและมั่นใจในความรักของตัวเอง
เก็บมันไว้ข้างๆ ตัว และจงดูแลให้ดีอย่างที่สุด

เพราะเมื่อเวลามีใครผ่านมา
จะได้บอกเขาได้
ว่านี่ไง...ความรักของผม

สำหรับใครที่ไม่เชื่อ และเลิกศรัทธาในเรื่องของความรัก
ลองเอามือขวาวาง ไว้ที่ด้านซ้ายของหน้าอกตัวเอง
รอซัก 5-10 วินาที
นั่นไง...ความรักของคุณ

เลือกที่จะวางความรักไว้ข้างๆ ตัว
หรือเก็บมันไว้ข้างในของหัวใจ
ก็เลือกกันเองละกัน

สวัสดีเดือนแห่งความรักครับ
กุมภาพันธ์ 2553