15.9.52

ลื ม คิ ด ถึ ง หั ว ใ จ ค น ใ ก ล้ ตั ว

บางครั้งเรามองแต่คนไกลตัว และห่วงว่าเขาเหล่านั้นจะมองเราและคนใกล้ตัวเราในลักษณะไหน ดีหรือร้าย? จนลืมคิดถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัว ว่าบางที เขาก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า ความเข้าใจระหว่างเรา 2 คน โดยที่เขาเองก็ไม่ได้สนใจ คนไกลตัว มากไปกว่าเราเท่าไหร่นัก

ลืมไปว่า รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนที่ผมรัก มีค่ามากกว่าความสุขของเราเพียงใด

ปล. ช่วงนี้เมนส์ไม่มา เลยมีเรื่องให้คิดเยอะ
โดยลืมไปเหมือนกันว่า เมื่อก่อนมึงก็ไม่ได้คิดอะไรขนาดนี้ วันๆ เอาแต่บ้าๆ บอๆ ไปตามเรื่อง
ซึ่งมันก็มีความสุขดี ถ้าได้เห็นรอยยิ้มของคนที่เรารัก

มิใช่เหรอวะ ?

ห ลั ง ฝ น พ ร ำ


ในขณะที่รอบๆ ตัวมีแต่ความมืด
เชื่อว่าอีกไม่นานมันก็จะสว่าง
และสดใส

ในเวลาที่ความคิดส่วนตัวยังดูอึมครึม
ความรู้สึกกลับบอกว่า ไม่นานมันก็จะสว่าง
และสดใส

ถ้าบนทางข้างหน้านั้นชัดเจนและมีพื้นที่ว่างพอ
ก็คงได้เจอสิ่งที่หายมานาน...ซักที

14.9.52

บ น ท า ง ข้ า ง ห น้ า

หนทางข้างหน้าที่ว่าง โล่ง และเงียบสงบ คงจะทำให้พบความสุขเล็กๆ ที่ค้นหามานาน หากแต่เพียงว่ามันยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน หมอกบางๆ ยังไม่จางลง ควันสีเทาบนถนนยังคงปกคลุมอยู่ ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปต่อดี หรือจะหยุดรอให้มันสะดวก และชัดเจนมากกว่านี้ 2 เดือนที่ผ่านมา เกิดความรู้สึกที่ดีๆ ขึ้นอย่างมากมาย บางครั้งมั่นใจและมั่นใจว่า นี่คงใช่อะไรๆ ที่เราหามานาน แต่ในบางจังหวะและบางอารมณ์ของคนเช่นเรา มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่า

...จะไปต่อดี หรือหยุดรอให้มันสะดวกและชัดเจนมากกว่านี้กันแน่ ???

ครบรอบ 2 เดือน
17 กันยา 2552
bypass road, rayong

11.9.52

ก ร ะ ตุ ก ห า ง เ หี้ ย


เมื่อวานเมาแฮงค์จากงานปาร์ตี้ทาสีบ้าน (เพ้นท์เฮาส์) ก็เลยลางานแม่งซะ 1 วันครับ (ครับกะใครวะ??) นอนอยู่กะบ้านเฉยๆ เพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไปจากคืนวันก่อน นอนหลับไปได้ซักครึ่งชั่วโมงในห้องนอนส่วนตัว เสียงโทรศัพท์ก็ดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับปลายสายลั่นเข้ามาในหูว่า "อยู่บ้านเหรอ งั้นลงมาช่วยยกของข้างล่างหน่อย ช่างมาทำประตูไสลด์กั้นห้อง" เสียงแม่ตะโกน (ใช่ครับ ตะโกน) ในโทรศัพท์มาว่ายังงั้น ก็เลยกระดกตูดลุกจากเตียงแบบมึนๆ ลงมาช่วยยกของ

ช่างมาทำประตูกั้นกลางบ้านเพื่อแทนผ้าม่าน ที่ฝุ่นเริ่มเกาะ ได้ชั่วโมงกว่า ก็ได้เวลาเล่นเนท เปิดดูเว็บฮาร์เลย์ได้พักนึงแม่ก็ตะโกนข้ามหัวมาว่า "รถนะเพลาๆ บ้าง จะซื้อทำไมนัก เงินทองมีไว้ก็เก็บมัั่ง โตแล้ว" เท่านั้นก็ร่ายยาววววววววววววววววววววววววววววววววววว

นั่งสะอึกกับคำของแม่อยู่พักใหญ่ เพราะได้คิดแว่บนึงว่า 2 ปีที่ผ่านมาเราเองใช้เงินแบบระยำมาก มีไว้ใช้ก็ใช้เข้าไป ไม่ได้สนใจอะไรว่ามันจะเกิดในภายหน้า เงินเก็บที่เคยมีครึ่งแสน แล่นผ่านหน้าเหมือนรถแข่งแดร็ก เร็วหายไปในสายลม ทั้งกลม แล้วก็แบน...อะไรที่เรียกว่าชีวิต กันวะ??? เรามีคำถามในหัวสมองขึ้นมาฉับพลัน แล้วก็สะบัดตูดไปธนาคารเพื่อเก็บเงิน ณ แต่วินาทีนี้ ???!@#%@%$

ลำพังแค่เพียงแม่พูดคนเดียว ก็คงทู่ซี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะชินกับคำที่แม่ชอบแซะเราเป็นนิจอยู่แล้ว
แต่นี่ มีคนอีก 1 คน ที่พิเศษ...
มากระตุกหางเหี้ย ให้หันหลังกลับเข้าฝั่ง
ยามที่มันกำลังจะหันหน้าออกทะเล (เหี้ยที่ไหนอยู่ในทะเลวะ)

ขอบคุณนะที่เป็นห่วง
ขอบคุณนะที่พูดแบบนั้น
ขอบคุณนะที่เข้าใจและหวังดี

ปล. เขินว่ะ เหี้ยเอ้ย
ปลล. 11-09-09 ก็เป็นวันที่ดีๆ เท่ากับวันที่ 09-09-09 เหมือนกันนะโว้ย

7.9.52

ห นึ่ ง ค ว า ม ห ม า ย แ ต่ ห ล า ย ค ว า ม คิ ด


ผมเก็บภาพนี้ไว้จากแพวัดแหลม เพราะว่าชอบในโทนสีที่ใกล้เคียงกันของผิวเรือและผืนน้ำ รวมทั้งความสงบนิ่งของกระแสน้ำ ความเก่าที่เล่าเรื่องราวของเรือแจวสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี นั่นเป็นความชอบส่วนตัว ที่ไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าที่มือกดชัตเตอร์ (มือถือ)

บางครั้งเราคิดเพียงแค่นิดเดียว และไม่ได้ต้องต่อยอดความคิดให้ยาวไกลไปอีก แต่คนรอบๆ กลับมองไปอีกรูปแบบนึง ซึ่งต่างจากที่เราคิดไปคนละทาง มันห้ามกันไม่ได้

บ้างก็ว่ารูปนี้เรือเอียง สีของฉากกลืนไปกับวัตถุ ทำให้ไม่มีจุดเด่น หรือหาคอนทราสไม่ได้ อะไรก็ตามแต่ เราก็ยังเป็นเราอยู่วันยังค่ำ คือต้องการทำเพื่อนสนองความคิดและจิตใต้สำนึกของตัวเองเพียงเท่านั้น และเมื่อได้คิดและลงมือทำแล้ว ก็คิดเพียงเท่านั้น ทำเพียงเท่่านั้น เพื่อให้ก้อนความคิดมันละลายไปกับสิ่งที่เราได้ทำ

เคยเอ่ยกับคนๆ นึงไว้ว่า ไม่ได้ต้องการอะไรเหมือนที่เคยได้ เพราะหมดความต้องการแล้ว ก็หมายความว่าหมดจริงๆ ไม่สามารถย้อนกลับมานั่งนับหนึ่งใหม่ได้ ก็ได้ทำตามอย่างที่พูดและคิดแล้ว และมันจะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น... ได้สัญญาอะไรไว้กับคนๆ นึง ก็จะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่จะคิดต่อกันไปอย่างไร คงห้ามกันไม่ได้

ในเรื่องของความคิดของคนหนึ่งคน
หลายคนจะตีความกันไปกี่ความหมาย หรือได้กี่ใจความก็ไม่เป็นไร
เราแค่หมายความ ตามที่เราคิดเพียงเท่านั้น

1.9.52

ม ะ เ ร็ ง ข อ ง แ ม่ ฉั น


ขึ้นต้นได้อย่างน่าใจหายจริงๆ สำหรับคำว่า มะเร็ง โรคที่หลายคนเป็น และหลายๆ คนไม่อยากที่จะเป็น (แต่มันเลือกไม่ได้ว่ะ) และมันยิ่งน่าใจหายเข้าไปอีก เมื่อคำว่ามะเร็ง เสือกทะลึ่งมานำหน้าคำว่าของแม่ฉัน หมาย ความตามนั้นนั่นล่ะครับ คือแม่ผมเป็นมะเร็ง...

มะเร็งในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง มาแค่เล็ง แต่ไม่ได้ยิงนะครับ (ทำเป็นขำไป) แต่ผมกำลังหมายถึง กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโตมีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็วและมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง...

ซึ่ง เผอิ๊นนนน มาเกิดกับแม่ผมในรอบอายุ 65 ปีของแกพอดิบพอดี ราวกับว่าฟ้าได้ submit แล้ว ว่าคนนี้น่ะ เอามะเร็งไปแดก (ทำเป็นขำไป) เพราะงั้นก็จงเป็นมะเร็งซะ จะว่าโชคดีหรือว่าโชคไม่ดีก็ไม่รู้ครับ เพราะไอ้มะเร็งของแม่ผม มันดันไปเกิดอยู่บนต้นขาซ้าย ในรูปแบบของก้อนไขมันส่วนเกินที่โตวันโตคืนมาเป็นเวลา 20 กว่าปี ช่วงหลังมานี่มันคงกินอิ่มนอนหลับ โตเอาอ้วนเอา ทำให้ต้นขาข้างซ้ายของแม่ผมมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ

ที่ว่าใหญ่กว่าปรกติเนี่ย ให้นึกภาพก้อนไขมันส่วนเกิน ขนาดความยาวจากหัว ถึงหาง 1.5 ฟุต ลำตัวกว้าง .5 ฟุต และน้ำหนักที่ชั่งเมื่อเช้าวันนั้น (วันที่หมอผ่ามันออกมา) ได้ปริมาตรสุทธิ 2.4 กิโลกรัมอย่างเป็นทางการถ้าเทียบกับน้ำหนักเด็กแรกเกิดนี่ถือว่าน้อยจัดทีเดียวละครับ อาจจะต้องเข้าตู้อบหลายวัน แต่นี่เผอิญมันเสือกเป็นมะเร็งน่ะ มันก็เลยไม่น้อย จนต้องเดือดร้อนให้หมอที่โรงพยาบาลศิริราช หั่นมันออกซะ

หั่น ออกไปแล้วพร้อมกับสบายใจว่าไปซะได้ก็ดี ไอ้มะเร็งนรก มาเกาะแม่กูทำไมครับ ผลการผ่าตัดหลังจากนอนศริราช 2 อาทิตย์ ผลการพิสูจน์ก็ออกมาครับ ปรากฏว่าก้อนไขมันที่มีเศษชิ้นเนื้อต้นขาของแม่ติดไปด้วยนั่นเป็นเนื้อร้าย เรียกง่ายๆ ว่ามะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน...

แสรดดดด ตัวจากไปแล้วยังทะลึ่งฝากทายาทไว้อีกแหน่ะ ว่าแล้วพ่อกับแม่ รวมทั้งที่บ้านก็เซ็งครับ ว่าแม่เป็นมะเร็งอีกโรคนึงแล้วเหรอวะ? เพราะแม่ผมเป็นสมาชิกตลอดชีพของโรคภูมิแพ้มาก่อนหน้านั้นแล้วครับ (ราวๆ ซัก 20 กว่าปีเห็นจะได้) ใครไม่เคยเจอ แม่นี่ล่ะเจอมา เป็นโรคน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกใบนี้แต่นี่มาเป็นสมาชิกใหม่ของโรงมะเร็งเนื้อเยื่ออ่อนเข้าไปอีก ถึงกับฮากันไม่ไหวเลยทีเดียว แต่ก็ยังดีที่มันไม่ได้ร้ายแรงเหมือนกับมะเร็งในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ที่ส่วนใหญ่เป็นแล้วก็เตรียมบอกลาโลกกันได้เลย

มะเร็งของแม่ได้สร้างความลำบากกาย หรือลำบากใจให้กับตัวเขาเองซักเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะว่าแกเจอกับโรคภูมิแพ้และเป็นหนักมาตลอดชีวิตแล้วก็ว่าได้มะเร็งมันก็เลยดูเด็กๆ ไป การดูแล และระวัง มันก็เป็นแค่การที่ต้องเข้าตรวจร่างกายที่ศริริราชบ่อยครั้งขึ้น เพื่อตามติดสถานการณ์ว่าไอ้เชื้อมะเร็งมันจะลามไปที่ไหนบ้างหรือเปล่าถ้าไม่ลามก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ามันเกิดลามขึ้นมาก็ค่อยว่ากัน

อ่านดูเหมือนแม่ผมไม่ได้ยี่หระกับโรคนี้เท่าที่ควรเลยนะครับ
แต่มะเร็งไม่ได้น่ากลัวเลย รู้ไว้ซะ เพราะคนเราเต็มที่ก็แค่ตาย
ที่ผ่านมาก็เจอความตายมาแล้ว 3 รอบ ถ้าเจออีกรอบก็ไม่เห็นแปลก
แม่ผมบอกแบบนั้น

ผมเชื่อใจของแม่ผมนะครับ ว่าแกมีความคิดแบบนั้นจริงๆ และตลอดมาแม่มีทัศนคติกับโรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ตลอด คือมันห้ามให้เกิดโรคกับเราไม่ได้หรอก แต่เราห้ามใจให้ไม่คิดป่วยตามโรคได้ ในวงเล็บ ถ้าหัวใจแข็งแรงพอ

ขอให้แม่มีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจด่าผมนานๆ ละกันครับ
ผมเห็นแม่ผ่านด่านชีวิต Level ระดับเทพมาแล้ว 3 ครั้ง
อะไรมันจะเกิดขึ้นกับแม่ในครั้งหน้าอีกที มีผมอีกคนที่จะไม่ยี่หระกับคำว่าเสียใจเป็นครั้งที่ 4
เพราะว่าแม่ผมได้บรรลุถึงคำว่า "ความสุขในชีวิต" มาแล้วน่ะครับ

ขอให้สุขภาพของคนที่รัก ของทุกคน แข็งแรง
และที่สำคัญ ในวงเล็บ (ด้วยหัวใจที่แข็งแรง)

ปล. ใครสนใจ (ผมหมายถึงสนใจศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้นะครับ ไม่ได้สนใจที่จะเป็นมะเร็ง)
หรือว่าคนใกล้ตัวของใครกำลังเป็นโรคนี้อยู่ ให้เข้าไปอ่าน ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็ง
ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติเขาได้เลยครับ จะได้ทำความรู้จักกับโรคนี้ซะ ว่ามันเป็นอย่างไร
และมีวิธีการดูแลรักษา หรือป้องกันยังไง

ขอบคุณครับ