31.5.53

พรุ่งนี้แล้ว




หลังฝนตก...ต้นไม้ได้น้ำเป็นยาชูกำลังให้ลำต้นตั้งตรง และเติบโต
ดินที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่น..ชุ่มฉ่ำด้วยน้ำฝนที่หล่นลงมาจากฟ้า
ชีวิตเล็กๆ วนเวียนเกิดและตายอยู่บนพื้นดินเป็นวัฏจักรตามธรรมชาติ
วันนี้ผ่านไปพร้อมกับรอวันพรุ่งนี้..ที่บางครั้งก็กำหนดอะไรแน่นอนไม่ได้

ผ่านไปและผ่านไป นานวันกลายเป็นเดือน
ผ่านเดือนไปจนถึงขวบปี
พรุ่งนี้กับสองปีที่ผ่านไป ชีวิตเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่

ยังคงนึกถึงร่างเล็กๆ ที่นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ต้นมะม่วง
ซึ่งป่านนี้คงเติบใหญ่ตามวัฏจักร ออกดอกและให้ผลตามหน้าที่

พรุ่งนี้ก็ครบสองปีที่อ้วนจากไป
ถึงวันเวลามันจะวิ่งผ่านตัวไปทุกวันอย่างรวดเร็ว
กูก็ยังคงคิดถึงมึงอยู่นะไอ้ลูกชาย..
ถ้าว่างก็แวะมาเข้าฝันกันมั่งล่ะ

พฤษภา 2553

27.5.53

...แต่นี่กรุงเทพ



...เจ็ดโมงเช้าวันพฤหัส ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ กรุงเทพฯ...

ถ้าเป็นแปดริ้วบ้านผม ขี่รถชมควายตามท้องนาเพลินเชียว
แวะกินข้าวเช้าข้างทาง ยังเหลือเวลาขี่รถเล่นเพลินๆ ก่อนถึงที่ทำงานเป็นครึ่งชั่วโมง
รถก็ไม่ค่อยมี ขี่กลางถนนตำรวจไม่จับด้วย

...แต่นี่กรุงเทพ ข้างหน้ารถติดเป็นขบวน รถไฟยังเรียกพ่อ
...แต่นี่กรุงเทพ ข้างหลังแม่งก็ตามมาเป็นพรวน เป็ดยังร้องเรียกแม่
...แต่นี่กรุงเทพ แม๊ดเซนเจอร์พลิกนรกเพียบ ถูกส่งกลับมาจากนรก ปาดซ้ายแซงชวา ปาดหน้าหันมองแล้วแจกกล้วย??
...แต่นี่กรุงเทพ เจ็ดโมงเช้า อากาศดีหายไป ใช้ปอดสูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์ไปดีท๊อกซ์ร่างกายแทนโอโซน
...แต่นี่กรุงเทพ ที่ๆ คนเรือนหมื่น รถเกลื่อนเลน และความสัมพันธ์ระหว่างทางบนถนน ลดน้อยลง ลดน้อยลง
...แต่นี่กรุงเทพ เจ็ดโมงเช้า เวลาที่พระแถวบ้านผมยังคงเดินรับบาตรอย่างสงบ ผู้คนไม่รีบร้อน รอยยิ้มยังเกลื่อนถนน


...แต่นี่กรุงเทพ...

พฤษภาคม 2553

26.5.53

only way to go



บางครั้งเรามีทางเลือกที่จะเดิน ไปในทางใดทางหนึ่ง แต่เรากลับไม่เลือกทางเดินนั้น หากแต่เลือกที่จะเดินทางของเราเอง
เป็นครั้งแรกที่wfhรู้สึกถึง ทางเลือก ที่ได้ เลือกเอง นั่นคือการหันหลังให้กับสิ่งที่สัมผัสมาเป็นเวลา 2 ปี

ไม่ได้หมายถึงความเบื่อหน่ายในการต้องอยู่ข้างหลัง
หากแต่ว่า นี่คือทางที่เราเลือก และคิดว่าดีพอสำหรับวันข้างหน้า
ถอนหายใจเช่นกันเมื่อได้เห็น และได้นึกถึงอะไรที่คุ้นเคย
เป็นความทรงจำที่ดีที่นึกทีไรก็สุข

ทุกข์บ้างเล็กน้อยจากการที่ต้องนั่งอยู่ข้างหลัง
และเพ่งมองความสุขบนทางข้างหน้าที่เราเคยทำมาก่อน
แต่สบาย..อย่างไรเราก็เลือกเอง

พฤษภาคม 2553
เขาหินซ้อน

24.5.53

สวัสดีบางกอก



หลังจากเหตุการณ์ระทึก 1 อาทิตย์เต็มๆ ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครได้ผ่านพ้นไป ซากปรักหักพังจากการถูกกลุ่มคนที่ไม่หวังดีวางเพลิงและเผาทำลาย ยังคงเรียงรายเป็นอนุสรณ์ให้กับประชาชนในเมืองหลวงได้ตระหนักถึงภัยที่เกิดจากความไม่เข้าใจกัน ได้เป็นอย่างดี

มาถึงวันนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มที่จะสงบลงบ้างแล้ว
พายุฝนโหมกระหน่ำ และส่งเม็ดฝนลงมาห่าใหญ่เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา
เหมือนเป็นการชะล้างความเศร้าที่ถูกละเลงลงบนเมืองหลวง ณ ช่วงเวลานึง

เช้าวันใหม่ของกรุงเทพจากหลังระเบียงห้องวันนี้ สดใส
...สวัสดี บางกอก หลับไหลไป 1 อาทิตย์ วันนี้ได้เวลาลืมตาแล้ว
หวังว่าคงเป็นสัญญานที่ดี ที่จะทำให้ใครหลายคนลืมความเศร้าได้
...ไม่มากก็น้อย

18.5.53

ไม่มีวีรบุรุษ ในสงครามกลางเมือง



"ในที่สุด บางที ความเข้าใจ กับความตายของคนเรา มันช่างไร้ค่าเสียจริงๆ นึกว่าเป็นการกระทำที่ทำให้ตัวเอง ตายอย่างวีรบุรุษ แสวงหาประชาธิปไตย มันก็เปล่าทั้งสิ้น ไม่รู้ตัวเองหรอกว่า ทำอะไรลงไป เพราะเร้าใจ สารอะดรีนาลินหลั่ง รู้สึกตัวเองมีคุณค่า มีพลัง อยากสู้ อยากรบ ไม่กลัวตาย เพื่อจะได้เป็นวีรบุรุษ (คำ เห็นช้างตัวเท่าหมู ก็นี่แหละครับ)

แต่ถ้ากลับมามีสตินึกคิด จะบอกกับตัวเองว่า...นี่กู มาทำอะไร?

ตายแล้วก็ไม่ได้อะไร เพื่อใครก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คนเดือดร้อนคือลูกเมีย ครอบครัวตัวเองต่างหาก

เชื่อเถอะ ไม่มีวีรบุรุษในสงครามที่ไม่รู้ว่า ตายไปเพื่ออะไรหรอกครับ
ถอนตัว กลับบ้านไปหาลูกเมีย
เมื่อเห็นหน้าลูกเมีย พ่อแม่ ก็จะรู้ตัวเองว่า..คิดถูกปานใด"

DON'T WORRY,
BE HAPPY
with ยอดทอง


สตาร์ซอคเกอร์ 19 พฤษภาคม 2553

ปล.จากแฟนหนังสือฟุตบอลเล่มเล็ก จากเด็กจนโตครับ
พฤษภาคม 2553

17.5.53

พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง



"ศรีษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน"

สั้นๆ แต่ความหมายเหลือล้น
จากตำนานคนฟั่นเฟือน พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
เราสีเดียวกัน...กราบงามๆ เลยพี่

พฤษภาคม 2553

หนูกับตีนกู



....."@#!%#^#$..อ๊ากกกกก..($^!)$^)"..... สิ้นเสียงกรีดร้องจากปากของผม ในเช้าวันอาทิตย์ก่อนฝนพรำลงมาห่าใหญ่ ทำเอากระโดดตัวลอยจากเปลนอนในร้านที่รีบไปเปิดตั้งแต่เช้า เพื่อสะสางอุปกรณ์และทำความสะอาด อุตส่าห์หลับในวิมานฝันอยู่ได้พักใหญ่เกือบได้ที่ จนกระทั่งปลายนิ้วก้อยตีนข้างซ้ายจะถูกสะกิดให้เกิดความรู้สึก แปล๊บบบๆ...

ชะโงกหน้ามองลงไปที่นิ้วต้นเหตุ ปลายตาเหลือบเห็นวัตถุก้อนดำๆ หางยาวๆ ง่อยๆ วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเหมือนติดอยู่ในดงกระสุนที่สามเหลี่ยมดินแดง..บาดแผลไม่ลึกมาก แต่ก็เรียกเลือดเหี้ยๆ ได้จั๋งหนับ

"ไอ่เหี้ย หนูกัดตีน"...ผมนึกในใจ
"แม่งกัดกูทำไมวะ"...ผมนึกในใจ
"มึงหิวหรือไงเนี่ย"...ผมก็นึกในใจ

แต่อย่ากระนั้นเลย ชักช้าไม่ได้การ เดินออกไปทำแผลข้างนอกดีกว่า
ชิบหายแต่เช้า นอนอยู่ดีๆ โดนอีหนูมาแทะตีนซะงั้น
...ตีนกูนะ ไม่ใช่เนยสด

แสรดดดดดด >_<

ปล. เช้าวันจันทร์ ตื่นมาหวยแดกอีก แหม๊...ชีวิตกู

พฤษภาคม 2553

10.5.53

พระทั้งสอง



เมื่อวันเสาร์ พ่อกับแม่พาไปซื้อบ้านครับ โครงการชลดา สุวรรณภูมิ ราคา 3 ล้านบาท (..เย็ดเข้..) ทำสัญญาเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าไปดูบ้านกันจนกระทั่งออกมาจากโครงการแล้วก็ขับรถแวะหาที่กินข้าวแถบลาดกระบัง-อ่อนนุช (ร้านครัวข้าวสวย ริมคลอง) แล้วก็ส่งให้ทั้งสองคนขับรถกลับบ้านไป

..พ่อแก่ไปเยอะเลยปีนี้ ผมเริ่มมีสีดอกเลาเข้ามายุรนันท์ (แซม) ส่วนแม่นั้นไม่ต้องพูดถึง ลำพังเรื่องมะเร็งก้อนไขมันตรงขาที่เพิ่งตัดออกไปก็ส่งผลให้การเดินของแม่ ง่อกแง่กๆ มากยิ่งขึ้นทุกวัน เลยทำให้เรื่องอายุ 60 กลางๆ ของแม่ก็เลยกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยทีเดียว (ลืมเรื่องหอบไปได้เลย นั่นเพื่อนสนิทของแม่)

พ่อกับแม่ให้ผมไปอยู่กับน้องชาย ที่บ้านหลังนี้ นั่นเป็นสิ่งที่แกตั้งใจไว้
นั่งนึกแล้วก็ใจหาย ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้เราอีก..เหนื่อยซะตอนแก่
นึกแล้วนึกอีกก็ไม่มีความคิดอื่นนอกซะจากว่า เพราะเขาเป็นพ่อ เป็นแม่เรา นั่นปะไร

เหตุผลอื่นเลยบางลงไปถนัดใจ

ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องพระคุณของพ่อกับแม่ ที่ทำให้มาโดยตลอด
ใครเลยที่มีพ่อและแม่ แต่ลืมคิดเรื่องพระคุณ ละเลยท่าน วันนี้ยังหันหลังกลับมาทัน
อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสพาท่านทั้งสอง ไปกินข้าวริมคลองกันพร้อมหน้าเหมือนดังผม
ก่อนที่เวลา จะพรากเราหรือไม่ก็ท่านให้ออกห่างกันตลอดไปในอนาคต...

ฝากบทกลอนที่พ่อเคย fwd mail มาให้อ่านก็แล้วกันครับ

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จํา จากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบ จะพ้องพาน เพียง เสี้ยววารของคืนวัน

ใจ จริงไม่อยากจาก เพราะ ยังอยากเห็นลูกหลาน
แค่ ชีพมิทนทาน ย่อม ร้าวรานสลายไป

ขอ เถิดถ้าสงสาร อย่า กล่าวขานให้ช้ำใจ
คน แก่ชะแรวัย คิด เผลอไผลเป็นแน่นอน

ไม่ รักก็ไม่ว่า เพียง เมตาช่วยอาทร
ให้ กินและให้นอน คลาย ทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

เมื่อ ยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้ นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ ยามป่วยไข้ ได้ ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน

เฝ้า เลี้ยงจนโตใหญ่ แม้ เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวัง เพียงจะได้ยล เติบโต จนสง่างาม

ขอ โทษถ้าทําผิด ขอ ให้คิดทุกทุกยาม
ใจ แท้มีแต่ความ หวัง ติดตามช่วยอวยชัย

ต้นไม้ ที่ใกล้ฝั่ง มี หรือหวังอยู่นานได้
วัน หนึ่งคงล้มไป ทิ้ง ฝั่งไว้ให้วังเวง


อ.สุนทรเกตุ


ปล. อ่านแล้วคงไม่ต้องแปลความหมายนะ
ถ้าน้ำตามันไหลออกมา ก็ไม่ต้องอาย นั่นแสดงว่าคุณรักท่านทั้งสองหมดหัวใจ
เพียงบอกรักท่านก่อน ตอนที่ท่านรู้สึกตัว มันดีกว่าเดินก้มหน้าไปเคาะฝาโลงตอนท่านไม่รับรู้อะไรแล้ว
จริงๆ นะครับ

พฤษภาคม 2553

7.5.53

ง่ายและสุข




เติบโตมาจากวัยเด็ก วัยที่ไม่มีความคิดยุ่งยากและซับซ้อนอยู่ในหัวสมอง
ย่างเข้าสู่วัยรุ่น เลือดและลมในร่างหายพลุ่งพล่าน พันวิธีที่คิดหาทางออกที่ดูเหมือนสับสน
จนเข้าสู่วัยกลางคน ยังคงมีกลิ่นไอของความเป็นวัยรุ่นอยู่บ้าง บางทีก็ค่อนข้างเยอะ

ทั้งหมดเกิดจากการคิดอะไรยากและทุกข์เยอะ
นี่ไม่ได้อัพบล็อคเพื่อที่จะสอนสังฆราชที่หลงเข้ามาอ่านแต่อย่างไรนะจ๊ะ
เพียงแต่เดินเตร่อยู่แถวหลังสนามกีฬาเมื่อวานเย็น

เห็นเจ้านี่มันนอนแช่น้ำที่ขังอยู่บนพื้นถนนอย่างสบายใจ
แล้วก็อดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้

เออ ง่ายๆ แล้วก็สบายดี
หรือใครจะเถียงวะ

ปล. ใครกำลังสับสนในความคิด ณ ขณะนี้ ลองคิดง่ายๆ เหมือนหมานี่ก็ท่าจะดีครับ
ร้อนก็นอนแม่งในน้ำ มีไรมั้ยล่ะ??

พฤษภาคม 2553

4.5.53

ฝนบนเดือนพฤษภา



ความจริงฝนมันตกมาตั้งหลายวันก่อนหน้านี้แล้ว แต่ผมเพิ่งจะนึกได้ว่า มึงอย่าลืมอัพบล็อคนะ (อัพไปให้ใครอ่านวะ) แต่ก็เอาเถอะ ถึงไม่มีคนอ่านกูก็จะอัพ 55 เริ่มหน้าฝนต้นเดือนพฤษภาที่เหมือนกับว่าต่อไปนี้น่าจะเย็นนะ แต่จะชุ่มฉ่ำหรือเละเทะก็ไม่รู้ ให้มันตกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง

ไม่พูดถึงการเมืองก็น่าจะดีเหมือนกัน แค่แอบหวังลึกๆ ว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นอย่างที่เห็นตามภาพข่าว เมื่อฝนตกลงมาอาจทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นเริ่มเย็นลงได้บ้าง ไม่มากก็น้อย (หรือว่าจะเละเทะก็ไม่รู้ - -')

เริ่มต้นกลางปี เราก็มีเรื่องให้ขบคิดเพิ่มมากขึ้นอีก 1 เรื่อง นั่นคือกิจการส่วนตัว .. อิอิ จะว่าเป็นกิจการมันก็ไม่เชิง เรียกว่าหาเรื่องเหนื่อยจะดีเสียกว่า ผมเปิดร้านปั่นเหล้าครับ แบบว่าไม่ใช่เอาแม่โขงมา 1 กลม แล้วก็นั่งเอาฝ่ามือสไลด์ข้างขวดให้มันหมุนติ้วๆ หรอกนะ แต่เป็นการลงทุนทำร้านเล็กๆ แถวสายไหม เพื่อฆ่าเวลาในการอยู่เฉยๆ หลังจากเลิกงานของผม

ลงทุนลงขันด้วยปัจจัยไปหลายใบ ตามงบที่ตั้งไว้ ร้านมันก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างบ้างแล้วล่ะ จากที่เคยเป็นร้านที่ว่างเปล่าก็เอาโต๊ะชุดใหม่มาลง ซื้อของเข้ามาตุนไว้รอวันเปิดร้านประมาณกลางเดือน เหลือแต่ก็เพียงทาสีภายในซึ่งไม่ได้ใหญ่โตมากมาย ลำพังเพียงคนเดียวก็น่าจะเสร็จในไม่กี่วัน ไม่ได้คิดที่จะเอากำรี้กำไรจนสามารถทำให้ผมกลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตาหรอก แค่อยากทำอะไรที่มันดูมีสาระบ้างมันก็เท่านั้นเอง หลังจากชีวิตแม่งไร้สาระมาตลอดทาง

ทีนี้ก็นั่งรอ..
ไม่ใช่สิ นั่งคิดต่อว่าจะทำยังไงอีกดี..
ทำงานบางนา บ้านอยู่พัฒนาการ แต่ทะลึ่งทำร้านแถวสายไหม...

ชิบหายแน่ แค่เริ่มต้นก็เละซะล่ะมั้งกู 555

พฤษภาคม 2553