นี่เคยวิ่งมาราธอนน สองปีก่อน
http://nuugo.blogspot.com/2017/01/blog-post.html
------------
คือวิ่งเอง อยากรู้ อยู่ดีๆ ก็แต่งตัวใส่เป้
ออกวิ่งแม่ง (555) จากบ้านภรรยา ตั้งใจว่า จะวิ่งไปทางบ้าน (แปดริ้ว)
ก็ราวๆ 70 กว่าโล แต่ตั้งใจแค่ว่า เอาระยะ 42.195 มาราธอนก็พอ
-----------
ผลก็เป็นตามลิงค์แหละ จบราวๆ 6 ชั่วโมงกว่า
ก็ผ่านไปสองปีที่เราไม่ได้ติดใจอะไร นอกจากลงวิ่งเทรล
รายการนั้นโน้นนี้ ฯลฯ สองปีกว่า จนมาถึง จอมบึงมาราธอน
ก็สมัครระยะมาราธอนเลย มั่นใจว่าจบแน่ แล้วก็มั่นใจด้วยว่า
ตะคริวแดกราวๆ กม.30 กว่าแน่นอน!!!
วันวิ่งจริง แดกจริง สองข้างเลย!!!
คือรู้ตัวเองจากที่ผ่านสนามเทรลมาเยอะว่า
ตะคริวกับเรามันของคู่กัน -- ฉะนั้นก็เตรียมตัวแต่ในมุ้ง
แบกมันตั้งแต่ กม.30 กว่าๆ บดๆ บี้ๆ เดินๆ ลากๆ
จากที่เริ่มสตาร์ท กม.ที่ 1 แบบเพลินๆ ในบรรยากาศของจอมบึง
มาจนถึงระยะราวเกือบ 30 กม. ได้
สิ่งนึงที่เป็นเรื่องบั่นทอนของนักวิ่งระยะมาราธอนคือ กำแพง
ที่กั้นระหว่างความเหนื่อยของร่างกาย กับความสู้ของจิตใจ
ที่ฝั่งแรกมักจะหนากว่ามาก -- แต่เมื่อวานนี้ไม่ใช่
ตะคริวก็ตะคริวสิ มา เดี๋ยวเฮียจะพาหนูเข้าเส้นชัย
ในเวลาที่ (ตั้งใจ) ไว้ว่าไม่เกิน 6 ชม.
5.30 ชม. กว่า ก็พาตัวเองมาถึง กม. ที่ 40 นิดๆ
พร้อมกับบอกทุกคนที่รอว่า -- แป๊บนะ กำลังเข้าไป
บดบี้ลากแบบไม่สนใจตะคริวที่กัดทั้งขา
ไปยืนหน้าเส้นที่เวลา 5.51 ชม.
6 กม. ที่เจ็บขาชิบหาย ตะคริวแดกทั้งสองข้าง
6 กม. ที่นิ้วพอง เพราะดันไปราดน้ำใส่รองเท้า
6 กม. ที่ไม่มีสักวินาทีเลยที่คิดจะหยุด ช่างแม่มัน
6 กม. ที่คิดแค่ว่า วิ่งแล้วต้องจบ
มาราธอนสอนเราไว้แค่นี้ล่ะ
สนุกชิบหายระยะนี้
ม.ค.62
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น