8 โมงกว่าก็ขับไอ้เตารีดดิ่งไปยังขนส่งจังหวัดฉะเชิงเทรา ครับ ยื่นเอกสารเรื่องการแจ้งย้ายเข้าของไอ้เตารีด แล้วก็นั่งรอตามจังหวะและคิวที่เราได้ หลังจากจ่ายค่าป้ายใหม่ไป 350 บาท เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดี จนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือเอาเอกสารทุกอย่างใส่รถ แล้วก็ถอยออกจากช่องจอด......
ตรึ่มมมมมมมม!!!!

แม่รถบัสคันงามที่จอดอยู่ท้ายไอ้เตารีด เกิดพิศวาสตูดรถผมเข้าอย่างกระทันหัน ค่อยๆ บรรจงเอาแก้มซ้ายของเธอ ปักลงไปที่บั้นเอวของพี่เตารีดรูปงาม ผลก็เป็นอย่างที่เห็น

เหย็ดแม่มม...ผมอุทานในใจ พร้อมทั้งนั่งสะกดอารมณ์เดือดปุดๆ อยู่ในรถประมาณ 30 วินาที แล้วก็ก้าวลงมายืนดูอนุสรณ์สถานที่แม่รถบัสคันงามได้ฝากไว้...โอว เย็กกะแม่น งานเข้าล่ะกู ฝาข้างด้านหลังคนนั่งยุบไปทั้งแถบ (ประกันมันเรียกว่าบังโคลนแหน่ะ) เขยิบหางตาไปดูกันชนท้าย มีรอยกระแทกด้านหัวมุม สีและแล็กเกอร์หลุดออกมาเป็นริ้วๆ ...
หลังจากนั้นผมก็ได้แต่สาละวนอยู่กับอิเจ๊เจ้าของรถบัสคันงาม ที่อ้างว่า เจ๊ม่ายเห็นๆๆๆ เจ๊ม่ายเห็นๆๆ (ม่ายเห็นพ่องงงงสิ กระจกบานโล่งบะเริ่มเทิ่ม) แล้วก็วนเวียนอยู่กับประกันเป็นเวลาร่วมๆ 4 ชั่วโมง จนกระทั่งแล้วเสร็จจากข้อตกลงที่ทางบริษัทประกันของรถบัส ต้องเป็นผุ้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมครั้งนี้ทั้งหมด โดยที่อู่รถประเมินราคาค่าซ่อมไว้ที่ 6500 บาท (ดีนะไม่ซ่อมเอง เดชะบุญของกู) เสร็จแล้วก็แยกย้ายตัวใครตัวมันครับ พร้อมกับพกความเซ็งในวันที่แดดแม่งร้อนชิบหายกลับไปยังอู่รถ...!@#$
ก็ตกลงกันไว้ว่าวันที่ 28 นี้จะส่งรถเข้าเคลม เพราะต้องรอเข้าคิว (ถึงรถจะโดนชนแต่ก็ต้องเข้าคิวนะจ๊ะ) ระหว่างนี้ก็ขับไอ้เตารีดตูดบุบไปทำงานก่อนพลางๆ หลังจากที่ออกจากอู่ก็ไปอีก 1 อู่ครับ เปลี่ยนสายน้ำหม้อน้ำใหม่หมด ไล่ระบบน้ำยาหล่อเย็น ไล่ระบบไฟของแตรรถที่อู่รุ่นพี่ เอ้า โดนไปอีก 1000 บาท..
บ่ายสองแก่ๆ ผมก็ออกจากอู่ไปหาข้าวกินที่ร้านแถวบ้านด้วยความสบายใจเฉิบ จ่ายค่าข้าวที่พาไอ้ทินไปกิน 300 บาทแล้วก็เตรียมตัวเผ่นกลับ กทม. เหลือบมองไปยังเกจ์วัดน้ำมัน ...โอว เหย็ดแม่ม น้ำมันหมดทำพรื๊ออออ... โดนไปอีก 500 บาท สบายใจไทยแลนด์ ถึง กทม. 5 โมง หญิงเลิกประชุมทุ่มครึ่ง วันนี้เกเรไม่เปิดร้านเหล้าก็แล้วกันวะ แล้วก็ไปเดินเล่นห้างกันครับ คุยกันเรื่องโทรศัพท์ใหม่ ว่าจะซื้อต่อรุ่นน้องที่ทำงานหญิง แต่โทรไม่ติด เราก็แอบดีใจว่า ต๊ายย ทุกข์ลาภเว้ยเฮ้ย รถโดนชนแต่ได้โทรศัพท์ใหม่...
โทรไปสี่ห้าครั้ง ปิดเครื่อง...... สุดท้ายข่าววงในแจ้งว่า เอาโทรศัพท์ไปขายซะแล้ว
โอว.. เหย็ดแหม่มมมมมมมม บรมมหาซวยแห่งวันจริงๆ กู
อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อเรื่องวะ ที่ว่าคนรวยบางคนไม่สนใจความซวย
คือหลังจากเสร็จธรุะเรื่องโดนชน ผมก็ไปร้านเพื่อน เพื่อให้มันตัดสติ๊กเกอร์มาแปะไว้ตรงข้างที่ถูกชน

ถามว่าเพื่ออะไร?.....ก็ไม่มีอะไร แค่อย่างน้อยมีใครแอบมองแล้วเกิดฮาในคำที่ผมติดไว้ (อย่างน้อยก็พ่อผมคนนึงที่ขำ) นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ดีในความซวยอย่างช่วยไม่ได้ของผม เพราะเมื่อเวลาเรามีรอยยิ้ม เรื่องซวยๆ มักจะไม่ค่อยมีความสำคัญกับชีวิตซักเท่าไหร่... หลังจากเสร็จธรุะเรื่องสติ๊กเกอร์ ก็ไปกินข้าว เจอไอ้ฮาร์เลย์นอนเพลิดอยู่กลางร้าน

เรียกมันสองสามครั้งมันก็ไม่ตื่น สงสัยคงหลับลึก ว่าแล้วก็เดินอ้อมเข้าร้าน (เพราะแม่งนอนขวางประตู) แล้วก็กินข้าวอย่างเมามัน
ถามว่าแล้วรวยอะไรของมึงวะ??
ก็ไม่ได้รวย ถ้าซวยหนักๆ จ่ายเองล่ะเหี้ยเลย
แต่ถ้าคิดแต่เรื่องซวย วันนี้ทั้งวันคงหน้าเป็นส้นตีนแน่ๆ
เพราะยังมีอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นไอ้ฮาร์เลย์นอนขวางประตู
หรือรอยยิ้มจากคนใกล้ๆ ตัวหลังจากที่เห็นสติ๊กเกอร์ง่อยๆ ของผม
มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าอะไรซวยๆ บนโลกเสียอีก
เรื่องซวย กูไม่สนหรอก มันช่วยไม่ได้
แต่เรื่องความฮา ที่ทำให้ลืมความซวย
กูช่วยตัวเองได้ เชื่อป่าวล่ะ
มิถุนายน 2553
โอว เหย็ดแหมมมม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น